เคยไหม? ที่ได้ยินเสียงลูกร้องแล้วเกิดความสับสนว่า “เอ๊ะ! ลูกเป็นอะไรนะ?” เดี๋ยวก็ร้องเสียงสูง เดี๋ยวก็ร้องครางๆ… เชื่อเถอะว่าคุณไม่ใช่คนเดียวที่งง เพราะการร้องไห้คือ “ภาษาแรก” ของทารกในการสื่อสารกับเรา
วันนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มาถอดรหัสเสียงร้อง 5 รูปแบบหลักๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญแบ่งไว้ เพื่อให้คุณเข้าใจความต้องการของเจ้าตัวเล็กได้ไวขึ้น และรับมือได้อย่างถูกจุด
สารบัญ
1. ร้องเพราะ “หิว” (Hunger Cry)
นี่คือเสียงร้องยอดฮิตที่พ่อแม่จะได้ยินบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิด
- ฟังยังไง: เริ่มจากเสียงต่ำๆ ยาวๆ และเป็นจังหวะซ้ำๆ (ร้อง…หยุด…ร้อง) ถ้าปล่อยไว้นาน เสียงจะดังขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นร้องจ้า
- สัญญาณเตือนก่อนร้อง: สังเกตดูปากลูก เขาอาจจะทำปากจุ๊บๆ หันหน้าหาอกแม่ (Rooting) หรือเอามือเข้าปาก ถ้าเห็นแบบนี้รีบป้อนนมเลย อย่ารอให้ร้องไห้
- วิธีแก้: ง่ายที่สุดคือ “ป้อนนม” ให้เขากินจนอิ่ม (สังเกตว่าลูกจะคายปากออกและหันหน้าหนีเอง)
2. ร้องเพราะ “ไม่สบายตัว” หรือ “งอแง” (Discomfort/Fussy Cry)
- ฟังยังไง: เสียงร้องจะไม่รุนแรงมาก ร้องๆ หยุดๆ เหมือนบ่นกระปอดกระแปด แต่ถ้านานเข้าเสียงจะดังขึ้น
- แปลว่าอะไร: ลูกอาจจะเหนื่อย ง่วงนอน เปียกแฉะจากผ้าอ้อม ร้อนไป หนาวไป หรือถูกกระตุ้นมากเกินไป (Overstimulated)
- วิธีแก้: ลองเช็คพื้นฐานก่อนเลย ผ้าอ้อมเต็มไหม? อากาศร้อนไปไหม? ถ้าทุกอย่างปกติ แสดงว่าลูกอาจจะแค่ง่วง พาไปกล่อมในที่เงียบๆ หรือเปลี่ยนบรรยากาศพาเดินเล่นสักนิดก็ช่วยได้
3. ร้องเพราะ “เจ็บปวด” (Pain Cry)
- ฟังยังไง: อันนี้จะต่างชัดเจน คือจู่ๆ ก็กรีดร้องเสียงแหลมสูงขึ้นมาทันที (Shriek) ลากเสียงยาว แล้วหยุดหายใจไปชั่วขณะก่อนจะร้องใหม่
- แปลว่าอะไร: อาจเกิดจากความเจ็บปวดกะทันหัน เช่น โดนแมลงกัด ผื่นผ้าอ้อมกัด เป็นแผล หรือปวดหู
- วิธีแก้: รีบหาสาเหตุทางกายภาพทันที ดูตามตัวว่ามีอะไรผิดปกติไหม ถ้าสงสัยเรื่องอาการเจ็บป่วยควรรีบปรึกษาคุณหมอ
4. ร้องเพราะ “ป่วย” (Sick Cry)
- ฟังยังไง: เสียงจะฟังดูผิดปกติไปจากเสียงร้องประจำวัน เสียงอาจจะดูไม่มีแรง อ่อนระโหยโรยแรง หรือร้องครางเบาๆ
- แปลว่าอะไร: ลูกอาจจะไม่สบาย มีไข้ หรือติดเชื้อ
- วิธีแก้: เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ถ้าคิดว่าเสียงร้องลูกดูแปลกไป หรือมีอาการซึม ไม่กินนม มีไข้เกิน 38 องศา (ในเด็กเล็ก) ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที
5. ร้องเพราะ “โคลิค” (Colic Cry)
- ฟังยังไง: เป็นการร้องที่รุนแรง ร้องไม่หยุด ร้องแบบหน้าดำหน้าแดง และมักจะเกิดขึ้นใน “เวลาเดิมๆ” ของทุกวัน (ส่วนใหญ่เป็นช่วงเย็นหรือหัวค่ำ) ลูกอาจจะกำมือแน่น งอขา หรือแอ่นหลังร่วมด้วย
- วิธีแก้: ภาวะโคลิคมักจะดีขึ้นเองเมื่อลูกอายุ 3-4 เดือน สิ่งที่คุณทำได้คือพยายามปลอบโยนเขา อุ้มเดิน เปิดเสียง White noise หรือนวดท้องเบาๆ และที่สำคัญคือ “ทำใจให้สบาย” เพราะมันไม่ใช่ความผิดของคุณ
เกร็ดเสริม: ทฤษฎีภาษาทารก (Dunstan Baby Language)
มีทฤษฎีที่น่าสนใจระบุว่า ก่อนที่ลูกจะร้องไห้จ้า เขาจะส่งเสียงสั้นๆ บอกความต้องการล่วงหน้า 5 เสียงหลักๆ
- “เนะ” (Neh): หิว
- “เอะ” (Eh): อยากเรอ ลมในท้อง
- “อาว” (Owh): ง่วงนอน
- “แอร์” (Eair): ปวดท้อง / แน่นท้อง
- “เฮะ” (Heh): ไม่สบายตัว (ร้อน/แฉะ)
การฟังเสียงร้องลูกอาจจะดูยากในช่วงแรก แต่เชื่อเถอะ ว่าเมื่อคุณอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ สัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่จะทำงานเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าวันไหนลูกร้องไม่หยุดจนคุณรู้สึกเครียดหรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้ “การวางลูกลงในที่ปลอดภัย แล้วเดินออกมาสงบสติอารมณ์สัก 10 นาที” คือ สิ่งที่ทำได้และควรทำ ขอเป็นกำลังใจให้พ่อแม่ทุกท่านค่ะ








