การมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่ยังไม่พร้อม หรือไม่ต้องการมีบุตร สิ่งต้องให้ความสำคัญ ก็คือ การคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ในปัจจุบัน มีวิธีคุมกำเนิดหลากหลายวิธี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว และการคุมกำเนิดแบบถาวร ซึ่งในบทความนี้จะเปรียบเทียบวิธีคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ ว่ามีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร
สารบัญ
- ตารางเปรียบเทียบวิธีคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ
- การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว
- วิธีที่ 1 ยาเม็ดคุมกำเนิด
- วิธีที่ 2 ยาคุมฉุกเฉิน
- วิธีที่ 3 ยาฉีดคุมกำเนิด
- วิธีที่ 4 ยาฝังคุมกำเนิด
- วิธีที่ 5 แผ่นแปะคุมกำเนิด
- วิธีที่ 6 ห่วงคุมกำเนิด
- วิธีที่ 7 การใช้ถุงยางอนามัย (ชาย)
- วิธีอื่นๆ ในการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว
- การคุมกำเนิดแบบถาวร
- วิธีที่ 1 การทำหมันหญิง
- วิธีที่ 2 การทำหมันชาย
ตารางเปรียบเทียบวิธีคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ
การคุมกำเนิดจะแบ่งกลุ่มใหญ่ๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวและการคุมกำเนิดแบบถาวร ซึ่งสามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีกหลายวิธี ดังนี้
1. การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว
การคุมกำเนิดชั่วคราว มีหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม โดยระยะเวลาที่มีผลคุมกำเนิดและโอกาสในการตั้งครรภ์จะแตกต่างกันออกไป ดังนี้
- ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม หากใช้อย่างสมบูรณ์ ถูกวิธี จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.30%-8% เท่านั้น สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยมีอายุการใช้งาน 1 เดือน ต่อ 1 หน่วย ราคาประมาณ 50-500 บาท แต่ข้อจำกัดคือห้ามลืมกินแม้แต่วันเดียว
- ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว หากใช้อย่างสมบูรณ์ ถูกวิธี จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.30%-10% เท่านั้น สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยมีอายุการใช้งาน 1 เดือน ต่อ 1 หน่วย ราคาประมาณ 50-500 บาท แต่ข้อจำกัดคือห้ามลืมกินแม้แต่วันเดียว และต้องกินให้ตรงเวลาด้วย
- ยาฉีดคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน หากใช้อย่างสมบูรณ์ ถูกวิธี จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.30%-3% เท่านั้น สามารถขอใช้บริการได้ที่โรงพยาบาล โดยมีอายุการใช้งาน 3 เดือน ต่อ 1 หน่วย ราคาประมาณ 100-200 บาท แต่ข้อจำกัดคือต้องไปฉีดให้ตรงเวลา
- ยาฝังคุมกำเนิด หากใช้อย่างสมบูรณ์ ถูกวิธี จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.01%-0.05% เท่านั้น สามารถขอใช้บริการได้ที่โรงพยาบาล โดยมีอายุการใช้งาน 3-5 ปี ต่อ 1 หน่วย ราคาประมาณ 2,500 บาท แต่ข้อจำกัดคือโรงพยาบาลทุก 3 ปี
- แผ่นแปะคุมกำเนิด หากใช้อย่างสมบูรณ์ ถูกวิธี จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.30%-8% เท่านั้น สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาใหญ่ๆ โดยมีอายุการใช้งาน 1 เดือน ต่อ 1 หน่วย ราคาประมาณ 400-600 บาท แต่ข้อจำกัดคือต้องเปลี่ยนแผ่นแปะทุกสัปดาห์
- ห่วงคุมกำเนิด หากใช้อย่างสมบูรณ์ ถูกวิธี จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.06%-0.08% เท่านั้น สามารถใช้บริการได้ที่โรงพยาบาล โดยมีอายุการใช้งาน 3-5 ปี ต่อ 1 หน่วย ราคาประมาณ 1,000-5,000 บาท แต่ข้อจำกัดคือต้องให้แพทย์ตรวจภายในทุกปี
- ถุงยางอนามัย หากใช้อย่างสมบูรณ์ ถูกวิธี จะมีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 15% สามารถซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยมีอายุการใช้งาน 1 ครั้ง ต่อ 1 หน่วย ราคาไม่เกิน 100 บาท แต่ข้อจำกัดอาจขัดจังหวะในการมีเพศสัมพันธ์
- หลั่งภายนอก เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำ โดยมีโอกาสตั้งครรภ์มากถึง 27% เนื่องจากหากมีการสอดใส่ จะทำให้น้ำหล่อลื่นบริเวณปลายอวัยวะเพศชาย มีอสุจิปนเปื้อนเข้าไปในช่องคลอดได้
- นับวันปลอดภัย เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำ โดยมีโอกาสตั้งครรภ์มากถึง 25% เนื่องจากอสุจิสามารถอยู่ภายในช่องคลอดได้หลายวัน ส่วนข้อจำกัดคือ ไม่เหมาะกับคนที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
2. การคุมกำเนิดแบบถาวร
การคุมกำเนิดแบบถาวร จะแบ่งได้เป็น 3 ประเภทสำหรับทั้งชายและหญิง ดังนี้
- ทำหมันเปียก (ผู้หญิง) เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.5% เท่านั้น สามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาล โดยมีระยะเวลาคุมกำเนิดตลอดชีวิต ราคาอยู่ระหว่าง 3,000-5,000 บาท ข้อจำกัดคือการทำหมันรูปแบบนี้จะทำหลังจากคลอด
- ทำหมันแห้ง (ผู้หญิง) เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.5% เท่านั้น สามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาล โดยมีระยะเวลาคุมกำเนิดตลอดชีวิต ราคาอยู่ระหว่าง 3,000-5,000 บาท ข้อจำกัดคือทำยากกว่าทำหมันเปียก และแผลมีขนาดใหญ่กว่า
- ทำหมันชาย เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.1-0.15% เท่านั้น สามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาล โดยมีระยะเวลาคุมกำเนิดตลอดชีวิต ราคาขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล แต่สามารถรับบริการได้ฟรีที่คลินิกมีชัย ไม่ต้องวางยาสลบ ทำเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที
การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว
การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว มี 7 วิธี ได้แก่ ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาคุมฉุกเฉิน การฉีดยาคุม ยาฝังคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ห่วงอนามัย และถุงยางอนามัย โดยมีรายละเอียดดังนี้
วิธีที่ 1 ยาเม็ดคุมกำเนิด
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม และฮอร์โมนเดี่ยว
1.1 ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมในเม็ดยาจะมีส่วนประกอบของฮอร์โมน 2 ชนิดคือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งมีผลในการยับยั้งการตกไข่
รูปแบบยา
มี 2 รูปแบบคือ 28 เม็ด และ 21 เม็ด ซึ่งมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดเท่ากัน โดยปริมาณฮอร์โมนในแต่ละเม็ดจะมีทั้งแบบที่เท่ากันทุกเม็ด และไม่เท่ากัน (ปรับให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติของผู้หญิง) ซึ่งจะมีราคาแพงกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็มีประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงไม่แตกต่างกัน
วิธีการใช้ยา
รับประทานยาเรียงตามลำดับลูกศรจนกว่าจะหมดแผง
- แบบ 28 เม็ด ประจำเดือนจะมาใน 7 เม็ดสุดท้ายของแผง เมื่อยาหมดแผงแล้วให้เริ่มแผงใหม่ในวันถัดไปทันที
- แบบ 21 เม็ด เมื่อยาหมดแผงแล้ว ให้นับต่อไปอีก 7 วัน (ประจำเดือนจะมาในช่วง 7 วันนี้) และเริ่มรับประทานแผงใหม่ในวันที่ 8
ข้อแนะนำการใช้ยา
- สำหรับผู้เริ่มใช้ยา ควรเริ่มภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน (เพื่อประสิทธิภาพในคุมกำเนิดที่ดีที่สุด ให้เริ่มรับประทานยาในวันแรกของการมีประจำเดือน)
- ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังเริ่มรับประทานยา ยาจะยังออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ จึงต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย
- ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอในเวลาเดียวกันของทุกวัน จะช่วยลดการเกิดเลือดประจำเดือนออกกะปริดกะปรอยได้
- แนะนำให้รับประทานยาในช่วงก่อนนอน เพราะจะช่วยหลีกเลี่ยงอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังรับประทานยาได้
หากลืมรับประทานยาต้องทำอย่างไร
กรณีที่ลืม 1 เม็ด
- ถ้านึกได้ก่อนถึงเวลารับประทานยาเม็ดถัดไป ให้รับประทานยาเม็ดนั้นทันทีที่นึกได้ และรับประทานยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ
- ถ้านึกได้ตอนใกล้ถึงเวลารับประทานยาเม็ดถัดไป ให้รับประทานยาเม็ดที่ลืมและเม็ดถัดไปพร้อมกัน 2 เม็ด ตามเวลาปกติ
กรณีที่ลืม 2 เม็ด
- ถ้าเป็นในช่วง สัปดาห์ที่ 1-2 ของรอบเดือน ให้กิน 2 เม็ดทันที วันต่อไปกินอีก 2 เม็ด แล้วจึงกินตามปกติ
- ถ้าเป็นช่วง สัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไป ให้หยุดยา แล้วคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นจนกว่าประจำเดือนรอบใหม่จะมา แล้วจึงเริ่มกินแผงใหม่ในวันแรกของการมีประจำเดือน
กรณีลืม 3 เม็ดขึ้นไป
ให้หยุดใช้ยาแผงนั้น และคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นไปก่อน รอประจำเดือนมาแล้วค่อยเริ่มแผงใหม่ในวันแรกของการมีประจำเดือน
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
สำหรับการใช้ยาที่สมบูรณ์แบบ มีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.3% แต่สำหรับการใช้ยาแบบคนทั่วไป คือ ลืมรับประทานยา หรือรับประทานยาไม่ตรงเวลา จะมีโอกาสตั้งครรภ์ 8%
ข้อดี
- หลังหยุดยาแล้ว สามารถตั้งครรภ์ได้เลยในเดือนถัดไป
- ประจำเดือนมาสม่ำเสมอตามปกติ ลดอาการปวดประจำเดือนได้
- ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งมดลูกและรังไข่
ข้อเสีย
- ต้องมีวินัยในการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
- หากมีการใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ผู้ใช้ยาควรไปตรวจมะเร็งปากมดลูกปีละ 1 ครั้ง
- ความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจขาดเลือด
ข้อห้ามใช้
- ห้ามใช้ในหญิงให้นมบุตร เพราะจะทำให้น้ำนมหยุดไหลได้
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวดังต่อไปนี้ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และผู้สูบบุหรี่จัดที่อายุมากกว่า 35 ปี
- ผู้ป่วยที่มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
ผลข้างเคียงของการใช้ยา
- ในช่วงเดือนแรกๆ ที่ใช้ อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ แต่หลังจากใช้ไปเรื่อยๆ รอบเดือนจะเริ่มมาสม่ำเสมอมากขึ้น
- ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้
- คัดตึงเต้านม
- น้ำหนักขึ้น
- หน้าเป็นฝ้า
1.2 ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว ตัวยาจะประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว กลไกหลักในการคุมกำเนิด คือ เพิ่มความเหนียวข้นของมูกบริเวณปากมดลูก ทำให้อสุจิวิ่งผ่านเข้าไปไม่ได้ ยาบางชนิดสามารถใช้ในการคุมกำเนิดสำหรับแม่หลังคลอดที่ให้นมบุตร
รูปแบบยา
มีรูปแบบเดียวคือ 28 เม็ด
วิธีการใช้ยา
รับประทานยาเรียงตามลำดับลูกศรจนกว่าจะหมดแผง โดยต้องรับประทานตรงเวลาเดิมทุกวัน ห้ามคลาดเคลื่อนเกิน 3 ชั่วโมง มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการคุมกำเนิด และเมื่อยาหมดแผง ให้รับประทานแผงใหม่ต่อในวันถัดไปโดยไม่ต้องเว้นระยะ
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังเริ่มรับประทานยา ตัวยาจะยังออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ จึงต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย
หากลืมรับประทานยาต้องทำอย่างไร
- ลืม 1 เม็ด ให้รับประทานเม็ดนั้นทันทีที่นึกได้ และรับประทานเม็ดต่อไปตามเวลาเดิม หลังจากนั้นให้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 1 สัปดาห์
- ลืม 2 เม็ด ให้รับประทานยาต่อไป วันละ 1 เม็ด และใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 1 สัปดาห์
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
- สำหรับการใช้ที่สมบูรณ์แบบจะมีโอกาสการตั้งครรภ์ 0.3%
- สำหรับการใช้ยาแบบคนทั่วไปจะมีโอกาสตั้งครรภ์ 1% โดยประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะสูงที่สุดเมื่อใช้ในหญิงให้นมบุตร
ข้อดี
- ใช้ได้ดีในแม่หลังคลอดที่ให้นมบุตร เพราะไม่ส่งผลต่อการหลั่งน้ำนม
- ใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือผู้ที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมได้
- หลังหยุดรับประทานยาแล้ว สามารถตั้งครรภ์ได้เลยในเดือนถัดมา
ข้อเสีย
ผู้ใช้ยาจะไม่มีประจำเดือนเป็นรอบๆ หรืออาจไม่มีประจำเดือนเลย หรือมีเลือดออกกะปริดกะปรอย
ข้อห้ามใช้
ไม่มีข้อห้ามใช้ แต่สำหรับการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากการรับประทานยาต้านไวรัสร่วมด้วยอาจลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด
ผลข้างเคียงของการใช้ยา
- มีเลือดออกกระปริดกระปรอย
- คลื่นไส้
- เวียนศีรษะ
- คัดตึง เจ็บเต้านม
วิธีที่ 2 ยาคุมฉุกเฉิน
ใช้สำหรับคุมกำเนิดในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ถุงยางแตก หรือลืมรับประทานยาคุมกำเนิด
กลไกการออกฤทธิ์
ป้องกันและชะลอการตกไข่ แต่ไม่สามารถใช้ทำแท้งได้
รูปแบบยา
มี 2 แบบ คือ
- ยาเม็ดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน โดยตัวยาจะประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเข้มข้น วิธีใช้ยา คือ รับประทาน 2 เม็ดพร้อมกันให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งรับประทานช้าเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสตั้งครรภ์มากขึ้นเท่านั้น (ห้ามเกิน 5 วัน หลังมีเพศสัมพันธ์)
- ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม สามารถนำมาใช้เป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินได้ โดยต้องคำนวณขนาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในการรับประทานยาแต่ละครั้งให้ได้ 100 ไมโครกรัม รับประทานทั้งหมด 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
โดยทั่วไป การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันมีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 8%
- ยาเม็ดฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ลดโอกาสตั้งครรภ์เหลือ 1 %
- ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม ลดโอกาสการตั้งครรภ์เหลือ 2%
ผลข้างเคียง
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ (มาช้าหรือเร็วกว่าปกติ) อาจมีเลือดออก 1-2 วันหลังจากรับประทานยา
- คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม เวียนศีรษะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปภายใน 1 สัปดาห์หลังรับประทานยา
ข้อควรระวัง
ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเกินเดือนละ 2 ครั้ง และหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินควรพิจารณาหาวิธีคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากกว่า
วิธีที่ 3 ยาฉีดคุมกำเนิด
ตัวยาจะประกอบด้วยฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอโรน โดยยา 1 เข็ม มีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด 3 เดือน
วิธีการใช้ยา
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (นิยมฉีดบริเวณสะโพก) ครั้งละ 1 เข็ม ทุกๆ 3 เดือน โดยเริ่มฉีดในวันแรกของการมีประจำเดือน หรือภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน หลังฉีดจะไม่มีประจำเดือนตามปกติเช่นเดียวกับยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว แต่อาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอยเรื้อรังได้
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
สำหรับการใช้ในคนทั่วไปมีโอกาสตั้งครรภ์ 3% และในคนที่ฉีดยาสม่ำเสมออย่างสมบูรณ์แบบมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.3%
ข้อเสีย
ต้องหยุดยานานประมาณ 9-12 เดือนขึ้นไป จึงจะสามารถมีบุตรได้
ผลข้างเคียงของการใช้ยา
- เลือดออกกระปริดกะปรอย ไม่สม่ำเสมอ แต่ไม่เป็นอันตราย หากกังวลสามารถไปพบแพทย์ได้
- น้ำหนักขึ้น (ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อปี)
- ปวดศีรษะ
- อารมณ์แปรปรวน
อ่านเติมเติม: ฉีดยาคุมกำเนิด ป้องกันได้นานกี่เดือน ไม่ฉีดแล้วจะกลับมาท้องทันทีหรือไม่
วิธีที่ 4 ยาฝังคุมกำเนิด
รูปแบบยา
ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว มีลักษณะเป็นหลอดยาทรงกระบอกเล็กๆ ขนาดความหนาประมาณครึ่งหนึ่งของหลอดยาคูลท์ ความยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร
กลไกการออกฤทธิ์
ยาที่ถูกฝังจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนคุมกำเนิดออกมาในระยะเวลา 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของหลอดยา
วิธีใช้
หลอดยาจะถูกฝังเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง โดยใช้เครื่องมือสอดยาแทงทะลุชั้นผิวหนังเข้าไป เป็นแผลเล็กๆ ประมาณ 0.5 เซนติเมตร (อาจฟังดูน่ากลัว แต่ในกระบวนการทำจริงง่ายและเจ็บน้อยมาก เนื่องจากจะมีการฉีดยาชาก่อนฝังยา)
ในเดือนแรกที่ฝังยาจะต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย เพราะยาฝังคุมกำเนิดจะยังออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ จนเมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือ 5 ปีแล้ว จะต้องกลับมาโรงพยาบาลเพื่อเอายาหลอดเก่าออก และใส่หลอดใหม่เข้าไป
ประสิทธิภาพ
มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.01-0.5%
ผลข้างเคียง
อาจมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือมีเลือดออกกะปริดกะปรอยได้
อ่านเพิ่มเติม: ฝังยาคุม ผลข้างเคียงเป็นยังไง เตรียมตัวยังไง?
วิธีที่ 5 แผ่นแปะคุมกำเนิด
รูปแบบยา
เป็นแผ่นแปะขนาดเล็ก แผ่นแปะคุมกำเนิด 1 ชุด สามารถใช้ได้ 1 เดือน
กลไกการออกฤทธิ์
ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ออกฤทธิ์เหมือนกับยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมคือ ป้องกันไม่ให้ไข่ตก เมื่อนำไปแปะตามส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ตัวแผ่นแปะคุมกำเนิดจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนคุมกำเนิดออกมา
ประสิทธิภาพ
เทียบเท่ากับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม แต่ประสิทธิภาพจะลดลงหากใช้ในคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม
วิธีใช้
ใน 1 ชุดจะประกอบด้วยแผ่นแปะคุมกำเนิด 3 แผ่น สำหรับแปะสัปดาห์ละ 1 แผ่น และเว้นไม่แปะในสัปดาห์ที่ 4 ของรอบเดือน (เหมือนกับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ด) ซึ่งจะเป็นช่วงที่ประจำเดือนมา
นอกจากนี้ คุณยังต้องระวังแปะแผ่นคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องติดกันทุกสัปดาห์ หากลืมแปะจะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์สูงมาก อีกทั้งต้องแปะตลอดเวลา ห้ามแกะแผ่นแปะออกเด็ดขาด โดยตัวแผ่นแปะคุมกำเนิดจะเหนียวหนึบทนทาน สามารถอาบน้ำ หรือว่ายน้ำได้ตามปกติ
ผลข้างเคียง
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- ระคายเคืองบริเวณผิวที่ติดแผ่นแปะคุมกำเนิด
- ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เจ็บเต้านม
วิธีที่ 6 ห่วงคุมกำเนิด
รูปแบบยา
เป็นแท่งพลาสติกอันเล็กจิ๋ว ขนาดเล็กกว่าปลายนิ้วก้อย ส่วนปลายกางออกเป็นลักษณะร่มหรือห่วง
วิธีใช้
ใส่เข้าไปทางปากมดลูก ตัวห่วงจะกางอยู่ในโพรงมดลูก และกระตุ้นการสร้างเมือกเพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิว่ายเข้าไปผสมกับไข่ได้
ห่วงคุมกำเนิดบางรุ่นจะสามารถปล่อยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนออกมาช่วยคุมกำเนิดได้ เช่น ไมรีน่า (Mirena) มีอายุการใช้งาน 3–5 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรเข้ารับการตรวจภายในทุกปี เพื่อเช็กสภาพและตำแหน่งของห่วงคุมกำเนิด
ประสิทธิภาพ
มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.06–0.08%
ผลข้างเคียง
เลือดออกกระปริดกะปรอย ประจำเดือนมามากผิดปกติ ปวดท้องประจำเดือน หรือตกขาว
หมายเหตุ
การใส่ห่วงคุมกำเนิดไม่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบ และไม่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
อ่านเพิ่มเติม: ใส่ห่วงคุมกำเนิด คืออะไร อ้วนไหม
วิธีที่ 7 การใช้ถุงยางอนามัย (ชาย)
ข้อดี
เป็นการคุมกำเนิดวิธีเดียวที่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น โรคหนองใน โรคซิฟิลิส โรคเอดส์
ประสิทธิภาพ
มีโอกาสตั้งครรภ์ 15%
วิธีอื่นๆ ในการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว
เป็นวิธีที่ไม่แนะนำ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในการตั้งครรภ์ ได้แก่ การหลั่งภายนอก และการนับวันปลอดภัย
การหลั่งภายนอก
มีโอกาสตั้งครรภ์ 27%
การนับวันปลอดภัย
- มีโอกาสตั้งครรภ์ 25%
- วิธีการคือ นับหน้า 7 หลัง 7 (นับ 7 วันก่อนประจำเดือนมา และนับอีก 7 ตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือนมา ซึ่งไม่ใช่เริ่มนับจากวันที่ประจำเดือนหมด)
- วิธีนี้ไม่ควรใช้กับผู้ที่มีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ
การคุมกำเนิดแบบถาวร
การคุมกำเนิดแบบถาวร มี 2 วิธี ได้แก่ การทำหมันหญิง (ทำหมันเปียก และทำหมันแห้ง) และการทำหมันชาย
วิธีที่ 1 การทำหมันหญิง
การทำหมันหญิงแบ่งออกเป็น การทำหมันเปียก และการทำหมันแห้ง
การทำหมันเปียก (การทำหมันหลังคลอด)
วิธีทำ
ตัดท่อนำไข่ให้แยกออกจากกัน ทำให้อสุจิไม่สามารถเดินทางไปผสมกับไข่ได้
ประสิทธิภาพ
มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.05%
ข้อดี
- ทำง่ายกว่าหมันแห้ง เนื่องจากระดับของมดลูกอยู่สูงกว่า
- แผลเล็กมาก โดยรอยแผลจะกรีดบริเวณใต้สะดือ ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร
- ไม่มีผลต่อฮอร์โมนเพศ ไม่ทำให้ความรู้สึกทางเพศ หรืออารมณ์เปลี่ยนแปลง
- ไม่มีผลต่อน้ำหนักตัว
ข้อเสีย
- เป็นการทำหมันถาวร ก่อนทำควรตัดสินใจให้รอบคอบ
- แก้หมันยาก โอกาสแก้สำเร็จน้อยมาก
การทำหมันแห้ง
ประสิทธิภาพเหมือนกับการทำหมันเปียก แต่ทำยากกว่า
วิธีที่ 2 การทำหมันชาย
เป็นวิธีที่ง่าย ปลอดภัย และได้ผลดี
วิธีทำ
ไม่ต้องวางยาสลบ เพียงแค่ฉีดยาชา แล้วกรีดแผลผ่าตัดเล็กๆ ที่บริเวณถุงอัณฑะ จากนั้นตัดท่อนำอสุจิให้แยกออกจากกัน หลังผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้ทันที
เมื่อท่อนำอสุจิถูกตัดแยกจากกัน จะทำให้อสุจิไม่สามารถหลั่งออกไปสู่ภายนอกได้ โดยหลังทำต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อรอให้เชื้ออสุจิหมดไป
ประสิทธิภาพ
มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.03%
ข้อดี
- ทำง่ายกว่าหมันหญิงมาก ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อยกว่า
- ฮอร์โมนเพศชายยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีผลต่อความรู้สึกทางเพศ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล