ท้องอืด หลังกินอาหาร

ท้องอืด ท้องเฟ้อ หลังกินอาหาร วิธีป้องกันและแก้ไข

ท้องอืด (Flatulence) เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่สำหรับบางคนอาการท้องอืดอาจเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติจนเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เช่น ผายลมบ่อย รู้สึกอึดอัด หรือไม่สบายตัว ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจช่วยบรรเทาอาการ ช่วยไล่ลมในท้องได้

ทำความรู้จักกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

ท้องอืด คือภาวะที่มีลม หรือแก๊สในกระเพาะอาหารมากผิดปกติ ทำให้เกิดอาการอึดอัด แน่นท้อง มีลมในท้อง ต้องเรอบ่อยๆ และต้องการระบายแก๊สเหล่านั้นออกมา ซึ่งถือเป็นกระบวนการปกติของระบบย่อยอาหาร

แก๊สในกระเพาะอาหารเกิดจาก 2 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้

  • การกลืนอากาศเข้าไปโดยตรง ในระหว่างที่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ จะมีอากาศปะปนเข้าไปในกระเพาะอาหารด้วย ทำให้เกิดการสะสมของแก๊สภายในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้การสูบบุหรี่ก็สามารถทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารด้วยเช่นกัน
  • แก๊สที่เกิดจากกระบวนการย่อยอาหาร เมื่อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารทำการย่อยอาหารอาจทำให้เกิดแก๊สบางชนิดได้ เช่น ไฮโดรเจน (Hydrogen) มีเทน (Methane) คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาการท้องอืดจะเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่หากเกิดบ่อยๆ หรือมีอาการร่วมกับน้ำหนักตัวลด มีอาการซีด ถ่ายอุจจาระดำ ตัวเหลืองตาเหลือง อาเจียนติดต่อกัน ปวดท้อง หรือแน่นท้องมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพโดยละเอียด

เพราะนอกจากปัจจัยที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว อาการท้องอืดยัง ท้องเฟ้อ สามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นอันตรายได้ เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการท้องอืดด้วยตัวเอง

อาการท้องอืดส่วนใหญ่ ท้องเฟ้อ มักเกิดจากการรับประทานอาหาร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้เหมาะสมจึงช่วยป้องกันการเกิดอาการท้องอืด หรือบรรเทาอาการท้องอืดได้มาก ไล่ลมในท้องอย่างเป็นธรรมชาติโดยอาจไม่ต้องใช้ยาช่วย มีวิธีระบายลมและความอึดอัดดังนี้

1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำนวนมาก

การรับประทานอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเป็นจำนวนมากจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารลงจึงช่วยป้องกันอาการท้องอืดได้

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงได้ อาจเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตย่อยง่าย เช่น มันฝรั่ง ข้าว หรือกล้วยแทนได้

2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สมาก

ตัวอย่างอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจากกระบวนการย่อย

  • ถั่ว เนื่องจากถั่วมีแรฟฟิโนส (Raffinose) ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ลำไส้ใหญ่จะถูกแบคทีเรียทำลาย และทำให้เกิดเป็นแก๊สต่างๆ ขึ้นเป็นจำนวนมาก
  • ธัญพืช ธัญพืชหลายชนิดประกอบด้วย ไฟเบอร์ แรฟฟิโนส และแป้ง ซึ่งนำไปสู่การเกิดแก๊สได้ มีเพียงข้าวเท่านั้นที่ไม่ทำให้เกิดแก๊ส
  • ผลิตภัณฑ์จากนม ในนมจะมีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แลคโตส (Lactose) หากระบบย่อยอาหารไม่สามารถผลิตเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ที่ใช้ในการย่อยแลคโตสได้เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้
  • ผักบางชนิด เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ มีปริมาณแป้งและแรฟฟิโนสจำนวนมาก
  • น้ำอัดลม การดื่มน้ำอัดลมทำให้มีอากาศในกระเพาะอาหารมากขึ้น และเป็นสาเหตุของอาการเรอ หรือผายลมอีกด้วย
  • หมากฝรั่ง แม้ตัวหมากฝรั่งไม่ได้ทำให้เกิดแก๊สโดยตรง แต่พฤติกรรมของคนที่มักเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการกลืนอากาศเข้าไปทีละเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวได้

การปรับพฤติกรรม หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจำนวนมากเหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันอาการท้องอืดได้

3. จดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละมือ

ร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงทำให้ความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละชนิดแตกต่างกันไปด้วย ในบางรายที่ไม่สามารถย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไปได้ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด หรือความผิดปกติอื่นๆ ตามมาได้

ตัวอย่างเช่น ในผู้ที่มีภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสผิดปกติ (Lactose intolerance) การดื่มนม หรือรับประทานอาหารที่ทำจากนมก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดตามมาได้

การจดบันทึกอาหารที่รับประทานไปในแต่ละมื้อจะช่วยให้ทราบได้ว่า อาหารมื้อล่าสุดที่รับประทานเข้าไปมีส่วนทำให้เกิดอาการท้องอืดมากผิดปกติหรือไม่

แต่สำหรับใครที่ต้องการรู้ผลแน่ชัด สามารถเข้ารับการตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง ซึ่งเป็นการตรวจเลือดหาสารก่อภูมิต้านทาน (Food specific IgG) เพื่อดูว่า มีภูมิแพ้แฝงต่ออาหารชนิดใดบ้าง เป็นวิธีที่อาจช่วยระบุภูมิแพ้อาหารแฝงได้หลายร้อยชนิดในคราวเดียว

4. ลดปริมาณอาหารลงเล็กน้อย

หากรับประทานอาหารวันละ 3 มื้อแล้วเกิดอาการท้องอืด อาจเป็นเพราะปริมาณอาหารในแต่ละมื้อนั้นเยอะเกินไป หรือรับประทานเร็ว หรือรับประทานระหว่างทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การเดินไปด้วยกินไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้กลืนลมเข้าไปมากขึ้น

ดังนั้นควรแบ่งอาหารเป็น 4-5 มื้อ แต่มื้อละเล็กน้อยเท่านั้น จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ง่ายขึ้น และควรรับประทานอาหารให้ช้าลงเพื่อลดปริมาณลมที่จะกลืนเข้าไปในท้อง

5. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องอืด การเดินสัก 20 นาที หลังมื้ออาหารอาจช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ไล่ลมในท้อง ได้ดีขึ้น

6. ดื่มน้ำตามมากๆ 

น้ำช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และทำให้ของเสียอ่อนตัว ขับถ่ายได้ง่าย

ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยให้การทำงานของระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำมากๆ ในแต่ละวันจะช่วยลดกลิ่นจากการผายลมได้อีกด้วย

7. ปรึกษาเภสัชกรเพื่อใช้ยา

เภสัชกรอาจแนะนำยาประเภท Charcoal tables ที่มีฤทธิ์ช่วยดูดซับแก๊สในกระเพาะอาหาร ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรืออาหารเสริมบางชนิด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน

ท้องอืดที่เกิดจากอาหารไม่ย่อยอาจเกิดจากอาการแพ้อาหารแฝงได้ หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป


บทความแนะนำ


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล


ที่มาของข้อมูล

Scroll to Top