12 common questions about flu vaccine disease faq

รู้ครบ! รวม 12 คำถามเกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแบบไหนดี เหมาะกับใคร?

สารบัญ

1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่คืออะไร?1

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine หรือ Flu Shot) เป็นวัคซีนที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยแอนติบอดีจะเริ่มพัฒนาประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด

อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีจะผลิตขึ้นจากไวรัสที่คาดว่าจะระบาดในฤดูกาลนั้น ครอบคลุมไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A และ B ทำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีหลายประเภทตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตและวิธีการให้วัคซีน

2.วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีแบบไหนบ้าง?

วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอยู่หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีองค์ประกอบของไวรัสและระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ (Trivalent Influenza Vaccine)

วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบ 3 สายพันธุ์ หรือ Trivalent ประกอบด้วยไวรัส 3 ชนิด ได้แก่ อินฟลูเอนซา A(H1N1), A(H3N2) และ B/Victoria ซึ่งถูกออกแบบเพื่อป้องกันไวรัสที่คาดว่าจะระบาดในฤดูกาลนั้น12 

2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent)

วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบ 4 สายพันธุ์ หรือ Quadrivalent ประกอบด้วยไวรัส 4 ชนิด ได้แก่ อินฟลูเอนซา A(H1N1), A(H3N2) B/Victoria และ B/Yamagata12 

3. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ High‑Dose สำหรับผู้สูงอายุ

วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบ High‑Dose ถูกพัฒนาสำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยมีปริมาณสาร Antigen สูงกว่าวัคซีนทั่วไปถึงสี่เท่า และยังลดอัตราการติดเชื้อในผู้สูงอายุได้ประมาณ​ 25% เมื่อเทียบกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบทั่วไป14

3. ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ แนะนำสำหรับทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่15

ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป2

ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากที่สุด จึงแนะนำให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี โดยเฉพาะวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High-Dose

เด็กเล็ก18

เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนถึง 8 ปี สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครั้งแรกอาจต้องฉีด 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง15

ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจะมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง

หญิงตั้งครรภ์17,21

หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อปกป้องตนเองและลูกในครรภ์ โดยมีคำแนะนำให้ฉีดก่อนช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดซึ่งก็คือก่อนเข้าฤดูฝน หรือช่วงอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เพื่อให้แอนติบอดีถ่ายทอดสู่ทารกผ่านรก

บุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลผู้สูงอายุ19

บุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลผู้สูงอายุควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่กลุ่มผู้เปราะบาง และเพื่อป้องกันตัวเองขณะดูแลผู้ป่วย

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นการป้องกันตัวเองจากการเจ็บป่วยร้ายแรง หลายหน่วยงานจึงสนับสนุนให้ทุกคนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อ

กลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่

4. ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ถึงแม้ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่มีบางกลุ่มที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนดังนี้

  • ทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่18
  • คนที่มีประวัติการแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบในวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เช่น Anaphylaxis หรือแพ้ไข่ ถึงแม้ว่าไข่จะไม่ใช่ข้อห้ามแต่อาจแพ้ในสารอนุพันธ์อื่น เช่น Latex ยาปฏิชีวนะ เจลาติน16
  • คนที่กำลังป่วยหนักหรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ออกไปก่อนจะหาย16
  • คนที่เคยป่วยเป็นโรคกิแลง บาร์แร ซินโดรม (Guillain-Barré Syndrome) หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย อาจทำให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลันได้13 

นอกจากนี้ ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก (LAIV) ด้วย ดังนี้

  • คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากหรือคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง เช่น ผู้ป่วยระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ป่วย HIV ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ หรือผู้ที่มีภาวะ Asplenia3
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงวัคซีนชนิดพ่นจมูก (LAIV) แม้ว่าวัคซีนแบบฉีดจะปลอดภัยก็ตาม17
  • เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี เพราะเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น หายใจมีเสียงหวีด หรือปอดอักเสบ4

5. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรฉีดช่วงไหน?20

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นที่มีความเสี่ยงในการระบาดไข้หวัดใหญ่ได้หลายช่วง จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนการระบาด

6. วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีผลข้างเคียงไหม?15

หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่บางคนอาจเจอกับผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ปวด แดง หรือบวมบริเวณที่ฉีด กล้ามเนื้ออ่อนล้า มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ หรือบางคนอาจมีน้ำมูกหรือไอ อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 1-2 วัน และถือว่าเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังสร้างภูมิต้านทาน

กรณีของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High‑Dose สำหรับผู้สูงอายุ อาจมีผลข้างเคียงอื่น เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และเหนื่อยล้ามากกว่าหลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปกติ

สำหรับอาการร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่คืออาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก และถ้ามีอาการหายใจลำบาก บวม ลิ้นหรือหน้าแดง ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที

7. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันได้นานแค่ไหน?5,15

วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะเริ่มสร้างภูมิต้านทานภายในประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด โดยการป้องกันจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี

8. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแล้วไม่เป็นไข้หวัดใหญ่เลยใช่ไหม?6

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่สามารถลดความรุนแรงของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตลงได้อย่างชัดเจน

9. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ฉีดพร้อมวัคซีนอื่นได้ไหม?7

โดยทั่วไปวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่นๆ ได้โดยไม่ลดประสิทธิภาพของแต่ละวัคซีน อย่างไรก็ตาม ก่อนฉีดวัคซีนแต่ละชนิดควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

10. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันไข้หวัดธรรมดาได้ไหม?8

วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอินฟลูเอนซาเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมไวรัสธรรมดา เช่น ไรโนไวรัส หรือโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ดังนั้นวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงไม่สามารถป้องกันไข้หวัดธรรมดาได้

11. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กับ 4 สายพันธุ์ ฉีดแบบไหนดีกว่า?9,10

วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีทั้งชนิดที่ป้องกันไวรัส 3 สายพันธุ์ (Trivalent) และ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) ซึ่งมีความแตกต่างที่ครอบคลุมจำนวนของเชื้อไวรัส ดังนี้

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ (Trivalent) ป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 ชนิด ได้แก่
    • Influenza A (H1N1)
    • Influenza A (H3N2)
    • Influenza B (สายพันธุ์ Victoria)
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) ครอบคลุมเพิ่มเติมอีก 1 สายพันธุ์คือ Influenza B (สายพันธุ์ Yamagata)

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สงสัยว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กับ 4 สายพันธุ์ ฉีดแบบไหนดีกว่า องค์การอนามัยโลกและองค์กรอื่นๆ ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2020 ไม่พบการแพร่ระบาดของไวรัส B สายพันธุ์ Yamagata แล้ว จึงแนะนำให้กลับมาใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ก็เพียงพอ

12. ทำไมผู้สูงอายุถึงควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High-Dose?11

ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงตามอายุ ทำให้ตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนวัยอื่น จึงมีวัคซีนชนิดพิเศษที่เรียกว่า High-Dose Flu Vaccine (Fluzone High-Dose) ที่มีสารกระตุ้นภูมิ (Antigen) มากกว่าวัคซีนทั่วไปถึง 4 เท่า ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิต้านทานได้มากขึ้น เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูง

วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นหนึ่งในวิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ได้ผลดี ช่วยลดอาการรุนแรง ลดโอกาสเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตได้ แม้จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่ก็มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิต

โดยวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีหลายประเภท เช่น วัคซีนชนิดฉีดปกติ วัคซีนชนิดพ่นจมูก และวัคซีนชนิด High-Dose สำหรับผู้สูงอายุ ก่อนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

Scroll to Top