สารบัญ
- 1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่คืออะไร?1
- 2.วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีแบบไหนบ้าง?
- 3. ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- 4. ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- 5. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรฉีดช่วงไหน?20
- 6. วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีผลข้างเคียงไหม?15
- 7. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันได้นานแค่ไหน?5,15
- 8. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแล้วไม่เป็นไข้หวัดใหญ่เลยใช่ไหม?6
- 9. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ฉีดพร้อมวัคซีนอื่นได้ไหม?7
- 10. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันไข้หวัดธรรมดาได้ไหม?8
- 11. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กับ 4 สายพันธุ์ ฉีดแบบไหนดีกว่า?9,10
- 12. ทำไมผู้สูงอายุถึงควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High-Dose?11
1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่คืออะไร?1
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine หรือ Flu Shot) เป็นวัคซีนที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยแอนติบอดีจะเริ่มพัฒนาประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด
อย่างไรก็ตาม วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีจะผลิตขึ้นจากไวรัสที่คาดว่าจะระบาดในฤดูกาลนั้น ครอบคลุมไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A และ B ทำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีหลายประเภทตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตและวิธีการให้วัคซีน
2.วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีแบบไหนบ้าง?
วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอยู่หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีองค์ประกอบของไวรัสและระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ (Trivalent Influenza Vaccine)
วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบ 3 สายพันธุ์ หรือ Trivalent ประกอบด้วยไวรัส 3 ชนิด ได้แก่ อินฟลูเอนซา A(H1N1), A(H3N2) และ B/Victoria ซึ่งถูกออกแบบเพื่อป้องกันไวรัสที่คาดว่าจะระบาดในฤดูกาลนั้น12
2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent)
วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบ 4 สายพันธุ์ หรือ Quadrivalent ประกอบด้วยไวรัส 4 ชนิด ได้แก่ อินฟลูเอนซา A(H1N1), A(H3N2) B/Victoria และ B/Yamagata12
3. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ High‑Dose สำหรับผู้สูงอายุ
วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบ High‑Dose ถูกพัฒนาสำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยมีปริมาณสาร Antigen สูงกว่าวัคซีนทั่วไปถึงสี่เท่า และยังลดอัตราการติดเชื้อในผู้สูงอายุได้ประมาณ 25% เมื่อเทียบกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบทั่วไป14
3. ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ แนะนำสำหรับทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่15
ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป2
ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากที่สุด จึงแนะนำให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี โดยเฉพาะวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High-Dose
เด็กเล็ก18
เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนถึง 8 ปี สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครั้งแรกอาจต้องฉีด 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง15
ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจะมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง
หญิงตั้งครรภ์17,21
หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อปกป้องตนเองและลูกในครรภ์ โดยมีคำแนะนำให้ฉีดก่อนช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดซึ่งก็คือก่อนเข้าฤดูฝน หรือช่วงอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เพื่อให้แอนติบอดีถ่ายทอดสู่ทารกผ่านรก
บุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลผู้สูงอายุ19
บุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแลผู้สูงอายุควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่กลุ่มผู้เปราะบาง และเพื่อป้องกันตัวเองขณะดูแลผู้ป่วย
อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นการป้องกันตัวเองจากการเจ็บป่วยร้ายแรง หลายหน่วยงานจึงสนับสนุนให้ทุกคนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อ
4. ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ถึงแม้ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่มีบางกลุ่มที่ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนดังนี้
- ทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ไม่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่18
- คนที่มีประวัติการแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบในวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เช่น Anaphylaxis หรือแพ้ไข่ ถึงแม้ว่าไข่จะไม่ใช่ข้อห้ามแต่อาจแพ้ในสารอนุพันธ์อื่น เช่น Latex ยาปฏิชีวนะ เจลาติน16
- คนที่กำลังป่วยหนักหรือมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ออกไปก่อนจะหาย16
- คนที่เคยป่วยเป็นโรคกิแลง บาร์แร ซินโดรม (Guillain-Barré Syndrome) หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย อาจทำให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลันได้13
นอกจากนี้ ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก (LAIV) ด้วย ดังนี้
- คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากหรือคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง เช่น ผู้ป่วยระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ป่วย HIV ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ หรือผู้ที่มีภาวะ Asplenia3
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงวัคซีนชนิดพ่นจมูก (LAIV) แม้ว่าวัคซีนแบบฉีดจะปลอดภัยก็ตาม17
- เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี เพราะเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น หายใจมีเสียงหวีด หรือปอดอักเสบ4
5. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรฉีดช่วงไหน?20
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นที่มีความเสี่ยงในการระบาดไข้หวัดใหญ่ได้หลายช่วง จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนการระบาด
6. วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีผลข้างเคียงไหม?15
หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่บางคนอาจเจอกับผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ปวด แดง หรือบวมบริเวณที่ฉีด กล้ามเนื้ออ่อนล้า มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ หรือบางคนอาจมีน้ำมูกหรือไอ อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 1-2 วัน และถือว่าเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังสร้างภูมิต้านทาน
กรณีของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High‑Dose สำหรับผู้สูงอายุ อาจมีผลข้างเคียงอื่น เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และเหนื่อยล้ามากกว่าหลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปกติ
สำหรับอาการร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่คืออาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก และถ้ามีอาการหายใจลำบาก บวม ลิ้นหรือหน้าแดง ต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที
7. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันได้นานแค่ไหน?5,15
วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะเริ่มสร้างภูมิต้านทานภายในประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด โดยการป้องกันจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี
8. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแล้วไม่เป็นไข้หวัดใหญ่เลยใช่ไหม?6
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่สามารถลดความรุนแรงของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตลงได้อย่างชัดเจน
9. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ฉีดพร้อมวัคซีนอื่นได้ไหม?7
โดยทั่วไปวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่นๆ ได้โดยไม่ลดประสิทธิภาพของแต่ละวัคซีน อย่างไรก็ตาม ก่อนฉีดวัคซีนแต่ละชนิดควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
10. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันไข้หวัดธรรมดาได้ไหม?8
วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอินฟลูเอนซาเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมไวรัสธรรมดา เช่น ไรโนไวรัส หรือโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ดังนั้นวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงไม่สามารถป้องกันไข้หวัดธรรมดาได้
11. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กับ 4 สายพันธุ์ ฉีดแบบไหนดีกว่า?9,10
วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีทั้งชนิดที่ป้องกันไวรัส 3 สายพันธุ์ (Trivalent) และ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) ซึ่งมีความแตกต่างที่ครอบคลุมจำนวนของเชื้อไวรัส ดังนี้
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ (Trivalent) ป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3 ชนิด ได้แก่
-
- Influenza A (H1N1)
- Influenza A (H3N2)
- Influenza B (สายพันธุ์ Victoria)
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) ครอบคลุมเพิ่มเติมอีก 1 สายพันธุ์คือ Influenza B (สายพันธุ์ Yamagata)
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สงสัยว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กับ 4 สายพันธุ์ ฉีดแบบไหนดีกว่า องค์การอนามัยโลกและองค์กรอื่นๆ ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2020 ไม่พบการแพร่ระบาดของไวรัส B สายพันธุ์ Yamagata แล้ว จึงแนะนำให้กลับมาใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ก็เพียงพอ
12. ทำไมผู้สูงอายุถึงควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High-Dose?11
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงตามอายุ ทำให้ตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนวัยอื่น จึงมีวัคซีนชนิดพิเศษที่เรียกว่า High-Dose Flu Vaccine (Fluzone High-Dose) ที่มีสารกระตุ้นภูมิ (Antigen) มากกว่าวัคซีนทั่วไปถึง 4 เท่า ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิต้านทานได้มากขึ้น เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูง
วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นหนึ่งในวิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ได้ผลดี ช่วยลดอาการรุนแรง ลดโอกาสเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตได้ แม้จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่ก็มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิต
โดยวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีหลายประเภท เช่น วัคซีนชนิดฉีดปกติ วัคซีนชนิดพ่นจมูก และวัคซีนชนิด High-Dose สำหรับผู้สูงอายุ ก่อนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง