Default fallback image

รวมวิธีตรวจภาวะอุ้งเชิงกราน ช่องคลอดหย่อนยาน

ภาวะช่องคลอดหย่อนยาน (Pelvic Organ Prolapse) และภาวะช่องคลอดหย่อน (Vaginal Prolapse) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการคลอดบุตรหรือเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการต่างๆ เช่น รู้สึกหน่วงๆ มีก้อนตุงที่ช่องคลอด ปัญหาปัสสาวะเล็ด ท้องผูก หรือแม้กระทั่งความรู้สึกไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์

แม้ว่าภาวะนี้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิง การวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนยานอย่างถูกต้องและแม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตรงจุด บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับวิธีการตรวจวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนยาน เพื่อให้คุณมีความเข้าใจและพร้อมสำหรับการเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างมั่นใจ

1. การซักประวัติ

ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนยาน คือการซักประวัติอย่างละเอียดและรอบคอบ แพทย์จะใช้เวลาพูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อทำความเข้าใจอาการ ประวัติสุขภาพ และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตรงไปตรงมาจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินปัญหาได้อย่างแม่นยำและวางแผนการตรวจรักษาได้เหมาะสม

สิ่งที่แพทย์จะสอบถามระหว่างการซักประวัติ ได้แก่

  • อาการปัจจุบัน
    • ผู้ป่วยมีความรู้สึกผิดปกติใดบ้าง เช่น รู้สึกหน่วงหรือมีก้อนตุงบริเวณช่องคลอด หรือมีสิ่งยื่นออกมาหรือไม่
    • อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ และรุนแรงขึ้นในขณะทำกิจกรรมใด เช่น ไอ จาม เบ่ง ยกของหนัก หรือยืนนานๆ
    • อาการปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม หรือออกแรง ปัสสาวะบ่อย หรือรู้สึกปัสสาวะไม่สุด
    • อาการเกี่ยวกับการขับถ่าย เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ต้องเบ่งถ่ายแรง มีปัญหาในการถ่าย หรือใช้มือช่วยดันบริเวณช่องคลอดขณะขับถ่าย
    • อาการเจ็บปวดหรือรู้สึกไม่สบายในช่องคลอดหรืออุ้งเชิงกราน รวมถึงความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์ 
  • ประวัติการตั้งครรภ์และคลอดบุตร
    • จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์และคลอดบุตร
    • วิธีการคลอด (ทางช่องคลอดหรือผ่าตัดคลอด)
    • หากคลอดทางช่องคลอด เคยมีประวัติคลอดบุตรตัวใหญ่ คลอดยาก ใช้อุปกรณ์ช่วยคลอด หรือฉีกขาดรุนแรงของฝีเย็บหรือไม่ 
  • ประวัติสุขภาพทั่วไปและโรคประจำตัว
    • มีโรคประจำตัวหรือไม่ เช่น โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคอ้วน
    • เคยได้รับการผ่าตัดช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานหรือไม่
    • ใช้ยาอะไรอยู่ในปัจจุบัน
    • มีอาการไอเรื้อรังหรือท้องผูกเรื้อรังหรือไม่
    • ยกของหนักบ่อยครั้งหรือไม่ในชีวิตประจำวันหรือที่ทำงาน
    • ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน 
  • ประวัติวัยหมดประจำเดือนและการใช้ฮอร์โมน
    • ได้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วหรือไม่
    • รับการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนหรือไม่

การซักประวัติอย่างละเอียดจะช่วยให้แพทย์เห็นภาพรวมของปัญหา และนำไปสู่การตรวจร่างกายและตรวจเพิ่มเติมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การตรวจร่างกาย

หลังจากซักประวัติแล้ว แพทย์จะตรวจร่างกายโดยเน้นบริเวณช่องท้องและอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจภายใน (Pelvic Exam) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนยาน การตรวจนี้ช่วยประเมินระดับการหย่อนคล้อยของอวัยวะและระบุชนิดของภาวะหย่อนได้อย่างแม่นยำ

ขั้นตอนสำคัญของการตรวจร่างกาย ได้แก่

  • การคลำตรวจบริเวณช่องท้องเพื่อตรวจหาก้อนหรือความผิดปกติใดๆ
  • การตรวจภายนอกช่องคลอด เพื่อตรวจสอบการยื่นของก้อนเนื้อหรือความผิดปกติอื่นๆ
  • การตรวจภายในโดยใช้เครื่องมือสเปคูลัม (Speculum) เพื่อเปิดผนังช่องคลอดและดูปากมดลูกอย่างชัดเจน พร้อมให้ผู้ป่วยเบ่ง ไอ หรือออกแรง เพื่อสังเกตการหย่อนของอวัยวะภายใน
  • การประเมินผนังช่องคลอดด้านหน้า (เพื่อดูภาวะกระเพาะปัสสาวะหย่อน) และด้านหลัง (เพื่อตรวจลำไส้ตรงหย่อนหรือลำไส้เล็กหย่อน)
  • การตรวจประเมินมดลูกและยอดช่องคลอดสำหรับผู้ที่เคยผ่าตัดมดลูกออก
  • การคลำตรวจภายในช่องคลอดแบบสองมือ (Bimanual Examination) เพื่อประเมินขนาด ตำแหน่ง และความผิดปกติของมดลูก รังไข่ และอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
  • ในบางกรณี อาจตรวจทางทวารหนักเพื่อประเมินกล้ามเนื้อและผนังลำไส้ตรง

แพทย์อาจใช้ระบบการจัดระดับความรุนแรงของภาวะหย่อน เช่น ระบบ POP-Q เพื่อให้การประเมินแม่นยำและสามารถติดตามผลได้

3. การตรวจปัสสาวะและเพาะเชื้อ

เนื่องจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนมักมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะเล็ดหรือปัสสาวะบ่อย การตรวจปัสสาวะจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อ

  • ตรวจคัดกรองการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection – UTI): อาการของภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนบางอย่างอาจคล้ายกับการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หากมีการติดเชื้อ จะต้องให้การรักษาก่อนที่จะดำเนินการตรวจวินิจฉัยอื่นๆ ต่อไป
  • ประเมินสุขภาพโดยรวมของระบบปัสสาวะ: การตรวจปัสสาวะยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของไตและกระเพาะปัสสาวะโดยรวมได้

หากพบว่ามีการติดเชื้อ แพทย์จะตรวจเพาะเชื้อปัสสาวะ เพื่อระบุชนิดของเชื้อแบคทีเรียและเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมในการรักษา

4. การตรวจการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ

สำหรับผู้ที่มีอาการปัสสาวะผิดปกติชัดเจน เช่น ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะลำบาก หรือปัสสาวะบ่อย การตรวจ Urodynamic Study จะช่วยประเมินการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะอย่างละเอียด ซึ่งประกอบด้วย

  • การวัดอัตราการไหลของปัสสาวะ (Uroflowmetry): เป็นการวัดความเร็วและปริมาณของปัสสาวะที่ถูกขับออกมา เพื่อประเมินว่ามีการอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะหรือไม่
  • การวัดความดันในกระเพาะปัสสาวะขณะเติมน้ำเกลือ (Cystometrogram): แพทย์จะสอดสายสวนขนาดเล็กเข้าทางท่อปัสสาวะเพื่อเติมน้ำเกลือเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะอย่างช้าๆ พร้อมกับวัดความดันภายในกระเพาะปัสสาวะ และบันทึกปริมาณน้ำเกลือที่สามารถบรรจุได้ก่อนที่จะรู้สึกปวดปัสสาวะหรือเกิดการเล็ดของปัสสาวะ การทดสอบนี้ช่วยประเมินความจุ ความยืดหยุ่น และการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
  • การตรวจวัดความสัมพันธ์ระหว่างความดันและการไหล (Pressure Flow Study): เป็นการวัดความดันในกระเพาะปัสสาวะและอัตราการไหลของปัสสาวะพร้อมๆ กันขณะปัสสาวะ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะและการทำงานของท่อปัสสาวะ
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG): ในบางกรณี อาจมีการติดแผ่นอิเล็กโทรดใกล้กับทวารหนักหรือช่องคลอดเพื่อวัดการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและหูรูดขณะปัสสาวะ

ผลตรวจนี้ช่วยแยกแยะสาเหตุของอาการและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

5. การตรวจภาพรังสี

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจใช้การตรวจภาพรังสีเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรง เช่น

  • อัลตราซาวด์ช่องคลอดและทางหน้าท้อง
    • อัลตราซาวด์ช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound): ใช้หัวตรวจสอดเข้าไปในช่องคลอดเพื่อสร้างภาพของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูก รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้เล็กที่หย่อนลงมา สามารถช่วยประเมินขนาด ตำแหน่ง และความสัมพันธ์ของอวัยวะเหล่านี้
    • อัลตราซาวด์ทางหน้าท้อง (Transabdominal Ultrasound): อาจใช้ในบางกรณีเพื่อดูภาพรวมของอุ้งเชิงกรานและช่องท้อง
  • MRI แบบไดนามิก (Dynamic Pelvic MRI): เป็นการตรวจ MRI ที่มีความละเอียดสูง โดยผู้ป่วยจะอยู่ในท่าที่จำลองการเบ่ง หรือมีการฉีดสารทึบแสงเข้าไปในช่องคลอดและ/หรือทวารหนัก เพื่อให้แพทย์เห็นการเคลื่อนไหวของอวัยวะในอุ้งเชิงกรานขณะเบ่งได้อย่างชัดเจน การตรวจนี้มีประโยชน์นการวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนที่ซับซ้อน หรือกรณีที่มีการหย่อนของหลายอวัยวะร่วมกัน และช่วยในการวางแผนการผ่าตัด
  • Cystourethrography หรือ Video-urodynamics: เป็นการตรวจที่รวมการฉายรังสี (X-ray) เข้ากับการตรวจ Urodynamic Study โดยมีการฉีดสารทึบแสงเข้ากระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ แล้วถ่ายภาพรังสีขณะปัสสาวะ เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะเมื่อเกิดการหย่อน

การตรวจเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของการหย่อนในกรณีที่ซับซ้อนและช่วยในการวางแผนรักษา

6. การส่องกล้อง

ในบางกรณีที่สงสัยปัญหาเพิ่มเติมในระบบทางเดินปัสสาวะหรือลำไส้ แพทย์อาจพิจารณาส่องกล้อง เช่น

  • การส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy): เป็นการสอดกล้องขนาดเล็กที่มีไฟและเลนส์เข้าไปในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ เพื่อตรวจดูภายในกระเพาะปัสสาวะและผนังกระเพาะปัสสาวะโดยตรงว่ามีความผิดปกติอื่นใด เช่น นิ่ว เนื้องอก หรือการติดเชื้อร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการปัสสาวะผิดปกติ
  • การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy หรือ Sigmoidoscopy): หากมีอาการเกี่ยวกับลำไส้รุนแรง หรือสงสัยความผิดปกติของลำไส้ตรง เช่น มีเลือดออกทางทวารหนัก แพทย์อาจพิจารณาการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย หรือลำไส้ใหญ่ทั้งหมด เพื่อตรวจดูความผิดปกติภายในลำไส้

การส่องกล้องเหล่านี้ไม่ได้เป็นวิธีหลักในการวินิจฉัยภาวะหย่อนโดยตรง แต่จะทำในกรณีที่จำเป็นเพื่อหาสาเหตุของอาการร่วมอื่นๆ หรือเพื่อวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

7. การประเมินคุณภาพชีวิตและแบบสอบถาม 

นอกเหนือจากการตรวจทางกายภาพและทางห้องปฏิบัติการ การประเมินผลกระทบของภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยก็เป็นสิ่งสำคัญ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยทำแบบสอบถามที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อประเมินระดับความรุนแรงของอาการ ผลกระทบต่อกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกไม่สบายทางกาย และผลกระทบต่อสภาพจิตใจและสังคม

แบบสอบถามเหล่านี้ช่วยให้แพทย์เข้าใจถึงมุมมองของผู้ป่วยต่อปัญหาที่เผชิญอยู่ และสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการติดตามผลการรักษาได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้แพทย์และผู้ป่วยสามารถร่วมกันกำหนดเป้าหมายของการรักษาที่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วย

การวินิจฉัยที่ถูกต้องและครบถ้วน คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนมีประสิทธิภาพ การเปิดใจให้ข้อมูลกับแพทย์อย่างตรงไปตรงมาจะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำกายภาพบำบัด หรือการรักษาโดยวิธีผ่าตัด

อยากตรวจภาวะภาวะอุ้งเชิงกราน ช่องคลอดหย่อนยาน ต้องทำอย่างไร? ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top