พนักงานออฟฟิศและคนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ มักเจอกับปัญหาสุขภาพที่เรียกว่า ‘ออฟฟิศซินโดรม’ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสมและขาดการดูแลร่างกายอย่างถูกต้อง
อาการของออฟฟิศซินโดรมมักจะเริ่มจากอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ มาทำความรู้จักกับโรคที่พบบ่อยในกลุ่มคนทำงาน พร้อมแนวทางป้องกันและรักษา เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว
สารบัญ
- ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?
- โรคยอดฮิตออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง
- โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง
- 1. โรคไมเกรน (Migraine)
- 2. ตาล้า (Eye Strain / Digital Eye Strain)
- 3. ปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่ (Cervical Pain, Shoulder Pain, Upper Back Pain)
- 4. ไหล่ห่อ คอยื่น (Slouched Shoulders, Forward Head Posture)
- 5. เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (Carpal Tunnel Syndrome)
- 6. นิ้วล็อก (Trigger Finger)
- 7. กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (Tennis Elbow)
- 8. ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (Postural Back Pain)
- กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นออฟฟิศซินโดรม
- วิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรม
- วิธีรักษาออฟฟิศซินโดรม
ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?
ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสมของพนักงานออฟฟิศ หรือผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยขาดการขยับร่างกาย ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ระบบไหลเวียนเลือด และสุขภาพจิต
โรคเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขและรักษาอย่างถูกต้อง อาการอาจรุนแรงขึ้นจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
โรคยอดฮิตออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง
1. โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Tenosynovitis)
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเกิดจากการใช้ข้อมือและนิ้วหัวแม่มือซ้ำๆ เช่น การพิมพ์งาน ใช้เมาส์ หรือจับมือถือเป็นเวลานาน ทำให้เส้นเอ็นบริเวณข้อมืออักเสบและเสียดสีกับปลอกหุ้มเอ็น
ส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะเมื่อขยับนิ้วหรือจับสิ่งของ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้ข้อมือเคลื่อนไหวได้ลำบากและเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้
อาการปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ
- ปวดข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะเมื่อขยับนิ้วมือหรือข้อมือ
- อาการปวดร้าวลงไปที่ปลายนิ้ว หรือมีอาการชาบริเวณนิ้วหัวแม่มือ
- คลำพบก้อนหรือถุงน้ำที่ข้อมือ
- อาการขยับนิ้วลำบาก และรู้สึกฝืดเมื่อขยับมือ
การรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้ข้อมือมากเกินไป
- ใช้อุปกรณ์พยุงข้อมือ เพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหว
- กายภาพบำบัด เช่น การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
- ฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ หรือผ่าตัดหากมีอาการรุนแรง
2. โรคปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม (Myofascial Pain Syndrome)
โรคปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่เกิดอาการตึงและปวดจากการใช้งานหนักหรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน อาการปวดอาจเกิดขึ้นเป็นจุดๆ และร้าวไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดความไม่สบาย และลดประสิทธิภาพในการทำงาน
อาการปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม
- ปวดตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ โดยเฉพาะหลังทำงานเป็นเวลานาน
- มีจุดกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อ
- อาจปวดร้าวขึ้นศีรษะ หรือมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย
การรักษาปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม
- ปรับท่านั่งให้ถูกต้องและพักระหว่างการทำงาน
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ
- ทำกายภาพบำบัด หรือใช้เครื่องมือช่วยบรรเทาอาการปวด
3. โรคเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์ (Mouse Arm Syndrome)
โรคเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์ เกิดจากการใช้มือและแขนในท่าเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น การใช้เมาส์และคีย์บอร์ดตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณแขนและข้อมือ
อาการเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์
- ปวดบริเวณแขน ท่อนแขน ข้อมือ และนิ้วมือ
- มีอาการตึงข้อมือ หรือรู้สึกแข็งขณะขยับมือ
การรักษาโรคเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์
- ปรับท่าการใช้เมาส์ให้ถูกต้อง
- ใช้แผ่นรองข้อมือเพื่อลดแรงกด
- พักมือและข้อมือระหว่างทำงาน
โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง
นอกจากอาการของออฟฟิศซินโดรมที่มักเจอโดยตรงแล้ว เรายังสามารถเจอโรคอื่นๆ จากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น ความเครียด การนั่งท่าทางที่ไม่ดี การใช้คอมพิวเตอร์ หรือมือถือเป็นเวลานานๆ เป็นต้น ดังนี้
1. โรคไมเกรน (Migraine)
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้อุปกรณ์มือถือเป็นเวลานานๆ อาจเพิ่มความเครียดและกระตุ้นอาการไมเกรนในบางคน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น แสงจากหน้าจอ
อาการของโรคไมเกรน
- ปวดหัวข้างเดียว รุนแรง และมีอาการคลื่นไส้
- อาจมีอาการมองเห็นภาพพร่ามัว หรือมีจุดสว่างในสายตา
- บางครั้งอาจมีอาการเวียนศีรษะ หรือความไวต่อแสงและเสียง
วิธีรักษาโรคไมเกรน
- การใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบที่แพทย์แนะนำ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้น เช่น แสงจ้า หรือเสียงดัง
- การพักผ่อนและการใช้เทคนิคการผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ
- ปรับการทำงานให้เหมาะสมและลุกขึ้นเคลื่อนไหวระหว่างการทำงาน
2. ตาล้า (Eye Strain / Digital Eye Strain)
การใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานานๆ โดยไม่พัก ทำให้เกิดความเครียดของกล้ามเนื้อตา และมักทำให้เกิดอาการตาล้า
อาการตาล้า
- รู้สึกปวดตา ตาแห้ง ตาแดง
- มีอาการมองเห็นไม่ชัดเจนหรือภาพพร่ามัว
- อาจมีอาการปวดศีรษะ หรือรู้สึกไม่สบายเมื่อทำงานหน้าจอ
วิธีรักษาอาการตาล้า
- ใช้กฎ 20-20-20 (ทุก 20 นาที ให้มองไปที่ระยะ 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที)
- ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม
- การใช้น้ำตาเทียม เพื่อบรรเทาอาการแห้งและระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการนั่งทำงานหน้าจอเป็นเวลานานโดยไม่พัก
3. ปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่ (Cervical Pain, Shoulder Pain, Upper Back Pain)
อาการปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่ เกิดจากการนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือการนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ ทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้รับการผ่อนคลายหรือยืดเหยียด ส่งผลให้ปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่
อาการปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่
- ปวดตึงบริเวณคอ บ่า หรือไหล่ โดยเฉพาะหลังการนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ
- อาจมีอาการปวดร้าวหรือรู้สึกตึงเมื่อขยับคอหรือยืดไหล่
- ปวดศีรษะร่วมด้วย
วิธีรักษาปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่
- ปรับท่านั่งให้เหมาะสม โดยให้หลังตรงและจอภาพอยู่ระดับสายตา
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ
- ใช้การบำบัดด้วยความร้อนหรือเย็น เพื่อบรรเทาอาการปวด
- การทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อคอและไหล่
4. ไหล่ห่อ คอยื่น (Slouched Shoulders, Forward Head Posture)
อาการไหล่ห่อ คอยื่น เกิดจากการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นเวลานาน ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้ออยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม
อาการไหล่ห่อ คอยื่น
- คอยื่นไปข้างหน้า หรือไหล่ห่อ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตึงบริเวณหลังและคอ
- การเคลื่อนไหวที่ลำบากและทำให้ท่าทางไม่สบาย
- อาจทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังของกล้ามเนื้อคอและบ่า
วิธีรักษาอาการไหล่ห่อ คอยื่น
- ปรับท่านั่งให้ตรงโดยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมกล้ามเนื้อด้านหลัง
- ฝึกท่าโยคะและการทำกายภาพบำบัด
5. เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (Carpal Tunnel Syndrome)
เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท เป็นโรคที่เกิดจากการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ที่ข้อมือ เช่น การใช้เมาส์และคีย์บอร์ด อาจทำให้เส้นเอ็นในข้อมือเกิดการกดทับเส้นประสาท
อาการเอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท
- ปวดแสบปวดร้อนหรือรู้สึกชาบริเวณข้อมือหรือมือ
- อาการจะเกิดขึ้นเมื่อทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือใช้อุปกรณ์ในท่าทางเดิมนานๆ
- อาจรู้สึกอ่อนแรงที่มือ หรือมีอาการเจ็บที่ข้อมือ
วิธีรักษาอาการเอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท
- ใช้ข้อมือในท่าที่ถูกต้อง และใช้แผ่นรองข้อมือ เพื่อลดการกดทับ
- พักข้อมือและทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
- ทำกายภาพบำบัด หรือแพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดในกรณีที่รุนแรง
6. นิ้วล็อก (Trigger Finger)
โรคนิ้วล็อก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ที่ใช้มือหรือข้อมือในการทำงานซ้ำๆ หรือการจับสิ่งของในท่าทางเดียวกัน ทำให้นิ้วมือขยับลำบาก หรือค้าง ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ยากขึ้น เช่น การหยิบจับสิ่งของ การทำงาน พิมพ์งาน
อาการนิ้วล็อก
- นิ้วมือหรือข้อนิ้วติดขัดเมื่อจะขยับ
- อาจมีเสียงดังคลิก หรือรู้สึกเจ็บในขณะเคลื่อนไหว
- การขยับนิ้วมือจะทำให้เกิดความเจ็บปวด
วิธีรักษานิ้วล็อก
- ทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมความยืดหยุ่น
- ฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ
- แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัด ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ
7. กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (Tennis Elbow)
กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ เกิดจากการใช้แขนในการทำกิจกรรมซ้ำๆ เช่น การใช้เมาส์ การพิมพ์ หรือการยกของหนัก
อาการกล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ
- ปวดบริเวณข้อศอกด้านนอกและแขน
- อาการปวดจะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อยกของหรือทำกิจกรรมที่ใช้แขน
- อาการปวดอาจลามไปที่ข้อมือหรือแขน
วิธีรักษาอาการกล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ
- พักจากการใช้งานแขนและข้อมือ
- ทำกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการ
- ใช้การรักษาด้วยความเย็น หรือการใช้ยาแก้อักเสบ เพื่อลดการอักเสบ
8. ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (Postural Back Pain)
อาการปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ เกิดจากการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อเกิดการตึงหรืออักเสบ
อาการปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ
- ปวดหลังส่วนล่าง หรือกลางหลัง จากการนั่งทำงานในท่าทางผิดปกติ
- อาการจะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อท่านั่งหรือท่ายืนนานๆ
วิธีรักษาอาการปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ
- ปรับท่านั่งให้เหมาะสมและยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังอย่างสม่ำเสมอ
- นวดบรรเทาอาการปวด
- ทำกายภาพบำบัด
กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นออฟฟิศซินโดรม
- พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่มีการเปลี่ยนท่าทาง ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและกล้ามเนื้อตึง
- ฟรีแลนซ์และคนทำงานจากที่บ้าน ที่ไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น โต๊ะและเก้าอี้ที่รองรับสรีระ อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังและข้อมือ
- นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือเขียนหนังสือเป็นเวลานานโดยไม่ได้พัก อาจเกิดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และสายตาล้า
- ผู้ที่ใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตบ่อยๆ เป็นเวลานานโดยไม่พัก ส่งผลให้เกิดอาการปวดนิ้วมือ ข้อมือ และอาการชาตามปลายนิ้ว
- ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้ง่ายขึ้น
วิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรม
- ปรับท่านั่งให้เหมาะสม โดยนั่งหลังตรง ให้หน้าจออยู่ระดับสายตาและวางแขนขนานกับพื้นเพื่อไม่ให้ข้อมือเกิดแรงกดมากเกินไป
- ลุกขึ้นขยับร่างกายทุกๆ 30-60 นาที เช่น เดินไปยืดเหยียดร่างกาย หรือเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อลดอาการปวดเมื่อยสะสม
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การยืดกล้ามเนื้อ โยคะ หรือเวทเทรนนิ่ง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดความตึงเครียด
- ใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่รองรับสรีระ เช่น เก้าอี้ที่สามารถปรับระดับได้และมีที่รองหลังเพื่อช่วยลดแรงกดที่กระดูกสันหลัง
- บริหารดวงตาและลดการใช้หน้าจอ โดยพักสายตาทุก 20 นาที ด้วยการมองไปที่ระยะไกลหรือหลับตาเพื่อลดอาการล้าสายตา
- ปรับการใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ให้ข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติ และใช้แผ่นรองข้อมือเพื่อลดแรงกดที่ข้อมือ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ลดอาการปวดกล้ามเนื้อและอักเสบ
วิธีรักษาออฟฟิศซินโดรม
- พักผ่อนและลดการใช้งานอวัยวะที่มีปัญหา หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้น และใช้เวลาพักให้เพียงพอ
- กายภาพบำบัดและการนวดบรรเทาอาการ เช่น การใช้คลื่นอัลตราซาวด์หรือประคบร้อน-เย็น เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ
- ทำแบบฝึกหัดยืดเหยียดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ และข้อมือ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดความตึงเครียด
- ใช้ยาหรือฉีดยาลดการอักเสบ เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ในกรณีที่มีอาการรุนแรง
- ฝึกใช้เทคนิคการทำงานที่ถูกต้อง เช่น การจับเมาส์ให้ถูกวิธี ใช้คีย์บอร์ดให้เหมาะสม และจัดวางอุปกรณ์ให้เอื้อต่อการทำงานโดยไม่เกิดอาการปวด
- หากอาการรุนแรง ควรพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เช่น การทำกายภาพบำบัดเพิ่มเติม หรือการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น
ออฟฟิศซินโดรมสามารถป้องกันได้ หากสามารถปรับพฤติกรรมการทำงานให้เหมาะสม และดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดออฟฟิศซินโดรม และลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพระยะยาวได้
ปวดข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ บางครั้งมีอาการชา ใช่ออฟฟิศซินโดรมหรือเปล่า? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย