Default fallback image

รวมโรคยอดฮิต ออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง การป้องกัน รักษา

พนักงานออฟฟิศและคนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ มักเจอกับปัญหาสุขภาพที่เรียกว่า ‘ออฟฟิศซินโดรม’ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสมและขาดการดูแลร่างกายอย่างถูกต้อง 

อาการของออฟฟิศซินโดรมมักจะเริ่มจากอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ มาทำความรู้จักกับโรคที่พบบ่อยในกลุ่มคนทำงาน พร้อมแนวทางป้องกันและรักษา เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

สารบัญ

ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสมของพนักงานออฟฟิศ หรือผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยขาดการขยับร่างกาย ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ระบบไหลเวียนเลือด และสุขภาพจิต

โรคเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขและรักษาอย่างถูกต้อง อาการอาจรุนแรงขึ้นจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

โรคยอดฮิตออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง

1. โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s Tenosynovitis)

โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบเกิดจากการใช้ข้อมือและนิ้วหัวแม่มือซ้ำๆ เช่น การพิมพ์งาน ใช้เมาส์ หรือจับมือถือเป็นเวลานาน ทำให้เส้นเอ็นบริเวณข้อมืออักเสบและเสียดสีกับปลอกหุ้มเอ็น

ส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะเมื่อขยับนิ้วหรือจับสิ่งของ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้ข้อมือเคลื่อนไหวได้ลำบากและเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้

อาการปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ

  • ปวดข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะเมื่อขยับนิ้วมือหรือข้อมือ
  • อาการปวดร้าวลงไปที่ปลายนิ้ว หรือมีอาการชาบริเวณนิ้วหัวแม่มือ
  • คลำพบก้อนหรือถุงน้ำที่ข้อมือ
  • อาการขยับนิ้วลำบาก และรู้สึกฝืดเมื่อขยับมือ

การรักษาโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ

  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้ข้อมือมากเกินไป
  • ใช้อุปกรณ์พยุงข้อมือ เพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหว
  • กายภาพบำบัด เช่น การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
  • ฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ หรือผ่าตัดหากมีอาการรุนแรง

2. โรคปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม (Myofascial Pain Syndrome)

โรคปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่เกิดอาการตึงและปวดจากการใช้งานหนักหรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน อาการปวดอาจเกิดขึ้นเป็นจุดๆ และร้าวไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดความไม่สบาย และลดประสิทธิภาพในการทำงาน

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม

  • ปวดตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ โดยเฉพาะหลังทำงานเป็นเวลานาน
  • มีจุดกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อ
  • อาจปวดร้าวขึ้นศีรษะ หรือมีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย

การรักษาปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรม

  • ปรับท่านั่งให้ถูกต้องและพักระหว่างการทำงาน
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ
  • ทำกายภาพบำบัด หรือใช้เครื่องมือช่วยบรรเทาอาการปวด

3. โรคเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์ (Mouse Arm Syndrome)

โรคเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์ เกิดจากการใช้มือและแขนในท่าเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น การใช้เมาส์และคีย์บอร์ดตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณแขนและข้อมือ

อาการเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์

  • ปวดบริเวณแขน ท่อนแขน ข้อมือ และนิ้วมือ
  • มีอาการตึงข้อมือ หรือรู้สึกแข็งขณะขยับมือ

การรักษาโรคเอ็นอักเสบจากการใช้เมาส์

  • ปรับท่าการใช้เมาส์ให้ถูกต้อง
  • ใช้แผ่นรองข้อมือเพื่อลดแรงกด
  • พักมือและข้อมือระหว่างทำงาน

โรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง

นอกจากอาการของออฟฟิศซินโดรมที่มักเจอโดยตรงแล้ว เรายังสามารถเจอโรคอื่นๆ จากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น ความเครียด การนั่งท่าทางที่ไม่ดี การใช้คอมพิวเตอร์ หรือมือถือเป็นเวลานานๆ เป็นต้น ดังนี้

1. โรคไมเกรน (Migraine)

การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้อุปกรณ์มือถือเป็นเวลานานๆ อาจเพิ่มความเครียดและกระตุ้นอาการไมเกรนในบางคน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น แสงจากหน้าจอ

อาการของโรคไมเกรน

  • ปวดหัวข้างเดียว รุนแรง และมีอาการคลื่นไส้
  • อาจมีอาการมองเห็นภาพพร่ามัว หรือมีจุดสว่างในสายตา
  • บางครั้งอาจมีอาการเวียนศีรษะ หรือความไวต่อแสงและเสียง

วิธีรักษาโรคไมเกรน

  • การใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบที่แพทย์แนะนำ
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้น เช่น แสงจ้า หรือเสียงดัง
  • การพักผ่อนและการใช้เทคนิคการผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ
  • ปรับการทำงานให้เหมาะสมและลุกขึ้นเคลื่อนไหวระหว่างการทำงาน

2. ตาล้า (Eye Strain / Digital Eye Strain)

การใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานานๆ โดยไม่พัก ทำให้เกิดความเครียดของกล้ามเนื้อตา และมักทำให้เกิดอาการตาล้า

อาการตาล้า

  • รู้สึกปวดตา ตาแห้ง ตาแดง
  • มีอาการมองเห็นไม่ชัดเจนหรือภาพพร่ามัว
  • อาจมีอาการปวดศีรษะ หรือรู้สึกไม่สบายเมื่อทำงานหน้าจอ

วิธีรักษาอาการตาล้า

  • ใช้กฎ 20-20-20 (ทุก 20 นาที ให้มองไปที่ระยะ 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที)
  • ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม
  • การใช้น้ำตาเทียม เพื่อบรรเทาอาการแห้งและระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการนั่งทำงานหน้าจอเป็นเวลานานโดยไม่พัก

3. ปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่ (Cervical Pain, Shoulder Pain, Upper Back Pain)

อาการปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่ เกิดจากการนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือการนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ ทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้รับการผ่อนคลายหรือยืดเหยียด ส่งผลให้ปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่

อาการปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่

  • ปวดตึงบริเวณคอ บ่า หรือไหล่ โดยเฉพาะหลังการนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ
  • อาจมีอาการปวดร้าวหรือรู้สึกตึงเมื่อขยับคอหรือยืดไหล่
  • ปวดศีรษะร่วมด้วย

วิธีรักษาปวดกระดูกคอ บ่า ไหล่

  • ปรับท่านั่งให้เหมาะสม โดยให้หลังตรงและจอภาพอยู่ระดับสายตา
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้การบำบัดด้วยความร้อนหรือเย็น เพื่อบรรเทาอาการปวด
  • การทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อคอและไหล่

4. ไหล่ห่อ คอยื่น (Slouched Shoulders, Forward Head Posture)

อาการไหล่ห่อ คอยื่น เกิดจากการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นเวลานาน ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้ออยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม

อาการไหล่ห่อ คอยื่น

  • คอยื่นไปข้างหน้า หรือไหล่ห่อ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตึงบริเวณหลังและคอ
  • การเคลื่อนไหวที่ลำบากและทำให้ท่าทางไม่สบาย
  • อาจทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังของกล้ามเนื้อคอและบ่า

วิธีรักษาอาการไหล่ห่อ คอยื่น

  • ปรับท่านั่งให้ตรงโดยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมกล้ามเนื้อด้านหลัง
  • ฝึกท่าโยคะและการทำกายภาพบำบัด

5. เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (Carpal Tunnel Syndrome)

เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท เป็นโรคที่เกิดจากการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ที่ข้อมือ เช่น การใช้เมาส์และคีย์บอร์ด อาจทำให้เส้นเอ็นในข้อมือเกิดการกดทับเส้นประสาท

อาการเอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท

  • ปวดแสบปวดร้อนหรือรู้สึกชาบริเวณข้อมือหรือมือ
  • อาการจะเกิดขึ้นเมื่อทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือใช้อุปกรณ์ในท่าทางเดิมนานๆ
  • อาจรู้สึกอ่อนแรงที่มือ หรือมีอาการเจ็บที่ข้อมือ

วิธีรักษาอาการเอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท

  • ใช้ข้อมือในท่าที่ถูกต้อง และใช้แผ่นรองข้อมือ เพื่อลดการกดทับ
  • พักข้อมือและทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
  • ทำกายภาพบำบัด หรือแพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดในกรณีที่รุนแรง

6. นิ้วล็อก (Trigger Finger)

โรคนิ้วล็อก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ที่ใช้มือหรือข้อมือในการทำงานซ้ำๆ หรือการจับสิ่งของในท่าทางเดียวกัน ทำให้นิ้วมือขยับลำบาก หรือค้าง ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ยากขึ้น เช่น การหยิบจับสิ่งของ การทำงาน พิมพ์งาน

อาการนิ้วล็อก

  • นิ้วมือหรือข้อนิ้วติดขัดเมื่อจะขยับ
  • อาจมีเสียงดังคลิก หรือรู้สึกเจ็บในขณะเคลื่อนไหว
  • การขยับนิ้วมือจะทำให้เกิดความเจ็บปวด

วิธีรักษานิ้วล็อก

  • ทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมความยืดหยุ่น
  • ฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ
  • แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัด ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ

7. กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (Tennis Elbow)

กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ เกิดจากการใช้แขนในการทำกิจกรรมซ้ำๆ เช่น การใช้เมาส์ การพิมพ์ หรือการยกของหนัก

อาการกล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ

  • ปวดบริเวณข้อศอกด้านนอกและแขน
  • อาการปวดจะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อยกของหรือทำกิจกรรมที่ใช้แขน
  • อาการปวดอาจลามไปที่ข้อมือหรือแขน

วิธีรักษาอาการกล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ

  • พักจากการใช้งานแขนและข้อมือ
  • ทำกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการ
  • ใช้การรักษาด้วยความเย็น หรือการใช้ยาแก้อักเสบ เพื่อลดการอักเสบ

8. ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (Postural Back Pain)

อาการปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ เกิดจากการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อเกิดการตึงหรืออักเสบ

อาการปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ

  • ปวดหลังส่วนล่าง หรือกลางหลัง จากการนั่งทำงานในท่าทางผิดปกติ
  • อาการจะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อท่านั่งหรือท่ายืนนานๆ

วิธีรักษาอาการปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ

  • ปรับท่านั่งให้เหมาะสมและยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังอย่างสม่ำเสมอ
  • นวดบรรเทาอาการปวด
  • ทำกายภาพบำบัด

กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นออฟฟิศซินโดรม

  1. พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่มีการเปลี่ยนท่าทาง ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและกล้ามเนื้อตึง
  2. ฟรีแลนซ์และคนทำงานจากที่บ้าน ที่ไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น โต๊ะและเก้าอี้ที่รองรับสรีระ อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังและข้อมือ
  3. นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือเขียนหนังสือเป็นเวลานานโดยไม่ได้พัก อาจเกิดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และสายตาล้า
  4. ผู้ที่ใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตบ่อยๆ เป็นเวลานานโดยไม่พัก ส่งผลให้เกิดอาการปวดนิ้วมือ ข้อมือ และอาการชาตามปลายนิ้ว
  5. ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้ง่ายขึ้น

วิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรม

  1. ปรับท่านั่งให้เหมาะสม โดยนั่งหลังตรง ให้หน้าจออยู่ระดับสายตาและวางแขนขนานกับพื้นเพื่อไม่ให้ข้อมือเกิดแรงกดมากเกินไป
  2. ลุกขึ้นขยับร่างกายทุกๆ 30-60 นาที เช่น เดินไปยืดเหยียดร่างกาย หรือเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อลดอาการปวดเมื่อยสะสม
  3. ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การยืดกล้ามเนื้อ โยคะ หรือเวทเทรนนิ่ง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดความตึงเครียด
  4. ใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่รองรับสรีระ เช่น เก้าอี้ที่สามารถปรับระดับได้และมีที่รองหลังเพื่อช่วยลดแรงกดที่กระดูกสันหลัง
  5. บริหารดวงตาและลดการใช้หน้าจอ โดยพักสายตาทุก 20 นาที ด้วยการมองไปที่ระยะไกลหรือหลับตาเพื่อลดอาการล้าสายตา
  6. ปรับการใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ให้ข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติ และใช้แผ่นรองข้อมือเพื่อลดแรงกดที่ข้อมือ
  7. ดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ลดอาการปวดกล้ามเนื้อและอักเสบ

วิธีรักษาออฟฟิศซินโดรม

  1. พักผ่อนและลดการใช้งานอวัยวะที่มีปัญหา หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้น และใช้เวลาพักให้เพียงพอ
  2. กายภาพบำบัดและการนวดบรรเทาอาการ เช่น การใช้คลื่นอัลตราซาวด์หรือประคบร้อน-เย็น เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ
  3. ทำแบบฝึกหัดยืดเหยียดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ และข้อมือ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดความตึงเครียด
  4. ใช้ยาหรือฉีดยาลดการอักเสบ เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ในกรณีที่มีอาการรุนแรง
  5. ฝึกใช้เทคนิคการทำงานที่ถูกต้อง เช่น การจับเมาส์ให้ถูกวิธี ใช้คีย์บอร์ดให้เหมาะสม และจัดวางอุปกรณ์ให้เอื้อต่อการทำงานโดยไม่เกิดอาการปวด
  6. หากอาการรุนแรง ควรพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เช่น การทำกายภาพบำบัดเพิ่มเติม หรือการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น

ออฟฟิศซินโดรมสามารถป้องกันได้ หากสามารถปรับพฤติกรรมการทำงานให้เหมาะสม และดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดออฟฟิศซินโดรม และลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพระยะยาวได้ 

ปวดข้อมือและนิ้วหัวแม่มือ บางครั้งมีอาการชา ใช่ออฟฟิศซินโดรมหรือเปล่า? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top