อาการปวดหัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คนได้บ่อย จนดูเป็นอาการปกติ แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม อาการปวดหัวมีหลายรูปแบบ เช่น ปวดตุบๆ ข้างซ้าย ขวา หน้าผาก เบ้าตา กลางศีรษะ ท้ายทอย หลังศีรษะ ปวดเหมือนโดนบีบขมับ หรือปวดแปลบคล้ายไฟช็อต ฯลฯ แต่ละอาการอาจบ่งบอกถึงโรคที่แตกต่างกัน การสังเกตและแจ้งรายละเอียดกับแพทย์จะช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาแม่นยำยิ่งขึ้น อาการปวดหัวแต่ละแบบ บ่งบอกถึงโรคอะไร บทความนี้รวมคำตอบเอาไว้แล้ว
สารบัญ
- 1. ปวดหัวข้างเดียว สัญญาณเตือนความเครียดและความผิดปกติของระบบประสาท
- 2. ปวดบริเวณหน้าผาก สัญญาณเตือนความเครียดสะสมและการติดเชื้อ
- 3. ปวดบริเวณเบ้าตา สัญญาณเตือนปัญหาสายตาและการติดเชื้อ
- 4. ปวดกลางศีรษะ สัญญาณเตือนความเครียดและปัญหาหลอดเลือด
- 5. ปวดบริเวณท้ายทอย สัญญาณเตือนความเครียดและการเสื่อมสภาพของกระดูกคอ
- 6. ปวดหลังศีรษะ สัญญาณเตือนความเครียดและการเสื่อมสภาพของกระดูกคอ
- 7. ปวดหัวเหมือนโดนบีบ สัญญาณเตือนความเครียด หรือความผิดปกติของระบบประสาท
- 8. ปวดหัวแปลบคล้ายไฟช็อต สัญญาณเตือนเส้นประสาทอักเสบ
1. ปวดหัวข้างเดียว สัญญาณเตือนความเครียดและความผิดปกติของระบบประสาท
ปวดหัวข้างเดียว อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ไมเกรน ความเครียด ไซนัสอักเสบ หรือปวดหัวคลัสเตอร์ ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของอาการ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงโรคหรือภาวะสุขภาพที่แตกต่างกันได้ ดังนี้
โรคไมเกรน (Migraine)
โรคไมเกรน หรือปวดหัวไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นได้เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการรับประทานอาหารบางชนิดที่มีสารกระตุ้น เช่น ช็อกโกแลต คาเฟอีน หรือไวน์แดง
- อาการ ปวดตุบๆ ข้างเดียว ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งด้านซ้ายและขวา อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไวต่อแสงและเสียง และบางครั้งอาจมีอาการนำ เช่น เห็นแสงวูบวาบก่อนเริ่มปวด
- กลุ่มเสี่ยง เกิดได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักเกิดในผู้หญิง โดยเฉพาะช่วงที่มีประจำเดือนหรือขณะตั้งครรภ์ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นไมเกรน ผู้ที่อยู่ในภาวะเครียดหรือทำงานหนักเป็นประจำ
ภาวะปวดหัวจากความเครียด (Tension Headache)
ภาวะปวดหัวจากความตึงเครียด เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อรอบศีรษะ คอ และไหล่เกิดการตึงตัวจากความเครียด การนั่งทำงานนานๆ หรืออยู่ในท่าเดิมนานเกินไป
- อาการ ปวดตื้อๆ รอบศีรษะหรือด้านใดด้านหนึ่ง ปวดเหมือนมีสายรัดรอบศีรษะ ไม่มีอาการคลื่นไส้หรือไวต่อแสงเสียงเหมือนไมเกรน
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ผู้ที่มีความเครียดสะสม ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
ไซนัสอักเสบ เกิดขึ้นเมื่อโพรงไซนัสติดเชื้อหรืออักเสบ มักเกิดตามหลังการเป็นหวัดหรือโรคภูมิแพ้
- อาการ ปวดตื้อบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก หรือระหว่างตา คัดจมูก น้ำมูกข้นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นปากหรือเสียงขึ้นจมูก มีไข้ต่ำ
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่เป็นภูมิแพ้หรือโรคทางเดินหายใจบ่อยๆ ผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศเย็นหรือชื้น ผู้ที่มีโพรงจมูกคด หรือมีติ่งเนื้อในจมูก
โรคปวดหัวคลัสเตอร์ (Cluster Headaches)
โรคปวดหัวคลัสเตอร์ เกิดขึ้นเมื่อระบบประสาทอัตโนมัติถูกกระตุ้นผิดปกติ ส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวรุนแรงเป็นรอบๆ และมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดิมของวัน
- อาการ ปวดรุนแรงข้างเดียว สามารถเกิดได้ทั้งข้างซ้ายและขวา บริเวณรอบตาหรือขมับ อาจมีน้ำตาไหลหรือตาแดง คัดจมูกหรือน้ำมูกไหลข้างเดียวกับที่ปวด และอาจเกิดขึ้นวันละหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจะมีอาการยาวนานประมาณ 15 นาที ไปจนถึง 3 ชั่วโมง
- กลุ่มเสี่ยง มักเกิดในผู้ชายอายุ 20-50 ปี ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเคยมีอาการคลัสเตอร์
2. ปวดบริเวณหน้าผาก สัญญาณเตือนความเครียดสะสมและการติดเชื้อ
อาการปวดหัวบริเวณหน้าผากสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ และมักบ่งบอกถึงโรคหรือภาวะสุขภาพที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของอาการ
โรคตาล้า (Asthenopia)
ปวดหัวเมื่อมีการใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสือ หรือการใช้โทรศัพท์มือถือในระยะเวลานานๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวบริเวณหน้าผากได้
- อาการ ปวดตื้อๆ บริเวณหน้าผากหรือรอบดวงตา ตาล้า และมีอาการล้าหรือแสบตา
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ โดยไม่พักสายตา
โรคไข้หวัดหรือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (Upper Respiratory Infection)
ในกรณีที่มีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ มักมีอาการปวดหัวร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก ไข้ และอาการเจ็บคอ
- อาการ ปวดหัวบริเวณหน้าผากร่วมกับอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไข้ต่ำ
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือเป็นหวัดบ่อย
นอกจากนี้อาการปวดบริเวณหน้าผาก ยังเป็นสัญญาณของโรคไซนัสอักเสบ และภาวะปวดหัวจากความเครียด ตามที่อธิบายไปแล้วข้างต้นด้วย
3. ปวดบริเวณเบ้าตา สัญญาณเตือนปัญหาสายตาและการติดเชื้อ
อาการปวดหัวบริเวณเบ้าตา เกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
ภาวะปวดหัวจากปัญหาสายตา
เกิดจากปัญหาทางสายตา เช่น การมองเห็นผิดปกติ สายตาสั้นหรือยาวเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการปวดตาหรือรอบเบ้าตา
- อาการ ปวดบริเวณเบ้าตา รู้สึกตึงที่ดวงตา อาจเกิดร่วมกับอาการตาพร่ามัวหรือปวดตาเมื่อใช้งานนาน
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีปัญหาทางสายตา เช่น สายตาสั้น หรือผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
โรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Myasthenia Gravis)
การใช้สายตานานๆ เช่น การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการปวดตาและรอบเบ้าตาได้
- อาการ ปวดเมื่อยบริเวณเบ้าตา รู้สึกอ่อนล้าที่ดวงตา อาจมีอาการตาพร่ามัวหรือแห้ง
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่ใช้สายตานานๆ โดยไม่พักผ่อน
นอกจากนี้อาการปวดบริเวณเบ้าตายังเป็นสัญญาณของโรคไซนัสอักเสบ และภาวะปวดหัวจากความเครียด ได้อีกด้วย
4. ปวดกลางศีรษะ สัญญาณเตือนความเครียดและปัญหาหลอดเลือด
อาการปวดกลางศีรษะส่วนใหญ่มักเกิดจาก ภาวะความเครียด แต่ยังอาจยังเป็นสัญญาณของอื่นๆ ได้ด้วย ได้แก่ โรคไมเกรน อาการปวดจากการใช้สายตานาน และโรคไซนัสอักเสบ ตามที่อธิบายอาการไปข้างต้น นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากปัญหารุนแรงอย่างโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
บางครั้งอาการปวดศีรษะกลางอาจเกิดจากภาวะเกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง เช่น การขยายตัวหรือการหดตัวของหลอดเลือด
- อาการ ปวดหัวรุนแรงหรือเหมือนแปลบๆ ที่กลางศีรษะ อาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
5. ปวดบริเวณท้ายทอย สัญญาณเตือนความเครียดและการเสื่อมสภาพของกระดูกคอ
อาการปวดบริเวณท้ายทอยสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากภาวะเครียด หรือ โรคไมเกรน แต่ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นจากท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้ร่างกายในลักษณะที่ทำให้กล้ามเนื้อล้า หรือเกิดการเกร็ง รวมถึงบางโรคที่อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดที่บริเวณนี้ได้
การเกร็งของกล้ามเนื้อคอ
การเคลื่อนไหวผิดท่าหรือการนั่งในท่าทางที่ไม่ดี อาจทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อที่คอและท้ายทอย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดที่ท้ายทอยได้
- อาการ ปวดตึงๆ ที่บริเวณท้ายทอย อาจลามไปถึงไหล่หรือขมับ มีอาการขยับคอยากลำบาก
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่นั่งในท่าทางไม่ดี, ผู้ที่ทำงานในท่าเดิมนานเกินไป
โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม (Cervical Spondylosis Radiculopathy)
การเสื่อมสภาพของกระดูกหรือหมอนรองกระดูกที่คอ อาจทำให้เกิดอาการปวดที่ท้ายทอยและคอ รวมทั้งมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขน
- อาการ ปวดคอและท้ายทอยเรื้อรัง อาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนร่วมด้วย
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีกิจกรรมที่ต้องใช้คอและหลังในลักษณะเดิมๆ นานๆ
โรคข้อต่อคออักเสบ
การอักเสบของข้อต่อคออาจทำให้เกิดอาการปวดที่บริเวณท้ายทอย และบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการขัดข้องเมื่อขยับคอ
- อาการ ปวดคอและท้ายทอยตลอดเวลา อาจมีอาการขัดหรือเสียงกรอบแกรบเมื่อขยับคอ
- กลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีประวัติการบาดเจ็บที่คอหรือหลัง
โรคเนื้องอกในสมอง (Brain Tumor)
อาการปวดท้ายทอยอาจเกิดจากโรคเนื้องอกในสมอง ซึ่งทำให้เกิดการกดทับหรือการระคายเคืองของเส้นประสาท แต่พบได้ค่อนข้างน้อย
- อาการ ปวดหัวเรื้อรังที่ท้ายทอย, คลื่นไส้ อาเจียน, การสูญเสียการมองเห็นหรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง ผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพการเคลื่อนไหวหรือการมองเห็น
6. ปวดหลังศีรษะ สัญญาณเตือนความเครียดและการเสื่อมสภาพของกระดูกคอ
อาการปวดหลังศีรษะมักเกิดจากการ ภาวะความตึงเครียด แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอื่นๆ ได้แก่ โรคไมเกรน โรคหลอดเลือดสมอง หมอนรองกระดูกคอเสื่อม นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากโรคอื่นๆ ได้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
โรคความดันโลหิตสูง (High Blood Pressure)
ความดันโลหิตสูงคือภาวะที่ความดันเลือดในหลอดเลือดสูงเกินระดับปกติ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
- อาการ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงที่ท้ายทอย เวียนหัว หายใจลำบาก
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ผู้สูงอายุและผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี
โรคต้อหิน (Glaucoma)
ต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากความดันในดวงตาสูงเกินไป ซึ่งสามารถทำลายเส้นประสาทตาและทำให้การมองเห็นลดลงหรือสูญเสียไปได้
- อาการ ปวดหัวรอบดวงตา เห็นภาพเบลอ การมองเห็นลดลง
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
โรคมะเร็งสมอง (Brain Cancer)
มะเร็งสมองเกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติในสมอง ซึ่งสามารถส่งผลต่อการทำงานของสมองและทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดหัวเรื้อรัง
- อาการ ปวดหัวเรื้อรังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คลื่นไส้ อาเจียน มีปัญหาทางการมองเห็นหรือการพูด
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งสมอง ผู้ที่เคยได้รับการฉายรังสีที่ศีรษะ
7. ปวดหัวเหมือนโดนบีบ สัญญาณเตือนความเครียด หรือความผิดปกติของระบบประสาท
อาการปวดหัวเหมือนโดนบีบเป็นอาการที่มัก เกิดจาก ภาวะเครียด หรือความตึงเครียดของกล้ามเนื้อรอบศีรษะและคอ ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานหนัก การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคไมเกรน โรคไซนัสอักเสบ ได้ด้วย
ขณะเดียวกันยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท
โรคทางระบบประสาท (Neurological Disease)
ในบางกรณีอาการปวดหัวที่เหมือนโดนบีบอาจบ่งบอกถึงภาวะเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะความผิดปกติของเส้นประสาท
- อาการ ปวดหัวรุนแรง อาจมีอาการชา หรืออ่อนแรงร่วมด้วย
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูง หรือปัญหาทางหลอดเลือดสมอง
8. ปวดหัวแปลบคล้ายไฟช็อต สัญญาณเตือนเส้นประสาทอักเสบ
ปวดหัวเหมือนโดนไฟช็อต อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาท ซึ่งอาจเกิดจากการอักเสบหรือการบาดเจ็บที่เส้นประสาทที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยอาการนี้มักจะมีลักษณะเป็นการปวดแปลบหรือเหมือนถูกไฟช็อตในบางจุดของศีรษะหรือคอ
เส้นประสาทอักเสบ (Nerve Inflammation)
เส้นประสาทอักเสบบริเวณท้ายทอย อาจทำให้เกิดอาการปวดแปลบคล้ายไฟช็อตที่ด้านขวาของศีรษะหรือคอ
- อาการ ปวดจี๊ดๆ เป็นช่วงๆ บริเวณด้านขวาของศีรษะหรือท้ายทอย อาจมีความไวต่อการสัมผัสบริเวณที่ปวด
- กลุ่มเสี่ยง ผู้ที่มีอาการคอเคล็ดหรือกล้ามเนื้อคออักเสบ ผู้ที่มีปัญหาหมอนรองกระดูกเสื่อม ผู้ที่ทำงานในท่าก้มคอหรือเงยหน้าต่อเนื่องนานๆ
จะเห็นได้ว่า อาการปวดหัว บอกโรคได้หลากหลาย หากมีอาการปวดหัวเป็นประจำ ไม่ควรรักษาด้วยตัวเอง ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อที่จะรักษาได้ตรงจุด
ปวดหัวแบบนี้ เรากำลังป่วยเป็นโรคอะไร อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย