Default fallback image

เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน VS ฉีดไขมันหน้าอก ต่างกันยังไง

หลายคนที่อยากเสริมหน้าอกมักลังเลว่าจะเลือกเทคนิคไหนดี ระหว่างการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน หรือการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เพราะทั้งสองวิธีมีข้อดีที่แตกต่างกัน บางคนอยากได้ทรงชัด บางคนกลัวสิ่งแปลกปลอม การเข้าใจข้อดี-ข้อเสียของแต่ละเทคนิคจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องพิจารณา เพื่อเลือกแบบที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน คือการผ่าตัดใส่ซิลิโคนเข้าไปที่บริเวณหน้าอก โดยซิลิโคนที่ใช้เป็นซิลิโคนทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัย สามารถเลือกรูปทรง ผิวสัมผัส ขนาด และตำแหน่งในการวางได้ตามสรีระของแต่ละคน เช่น วางเหนือกล้ามเนื้อหรือใต้กล้ามเนื้อ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินร่วมกับความต้องการของผู้เข้ารับการผ่าตัด

ข้อดีของการเสริมซิลิโคน

  1. เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่หลังผ่าตัด การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน หลังจากผ่าตัดเสร็จ จะเห็นรูปทรงที่ชัดเจนและคงรูป โดยไม่ขึ้นอยู่กับสภาพไขมันหรือเนื้อหน้าอกเดิมของแต่ละคน
  2. เลือกขนาดและรูปทรงได้ตามต้องการ ซิลิโคนมีหลายขนาด รูปทรง และผิวสัมผัสให้เลือก เช่น ซิลิโคนผิวเรียบหรือผิวทราย ซิลิโคนทรงกลม ที่ให้เนินอกเต็ม หรือทรงหยดน้ำ ที่ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
  3. เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเนื้อหน้าอกเดิม หรือมีเนื้อหน้าอกน้อย สำหรับผู้ที่ผอมมากหรือไม่มีเนื้อหน้าอกเลย การใช้ซิลิโคนจะช่วยเติมเต็มช่องว่างได้ดีกว่าการใช้ไขมัน เพราะไขมันต้องมีฐานเนื้อเดิมเพื่อให้ยึดเกาะได้
  4. ผลลัพธ์คงทน อยู่ได้นาน ไม่ต้องเติมบ่อย ซิลิโคนคุณภาพดีมีอายุการใช้งานยาวนานหลายปี และบางยี่ห้อรับประกันตลอดอายุการใช้งาน (ขึ้นกับเงื่อนไขบริษัท) ไม่ต้องเติมหรือแก้ไขบ่อยเหมือนการฉีดไขมัน
  5. มีการศึกษารองรับความปลอดภัยในระยะยาว ซิลิโคนที่ได้รับการรับรองจาก FDA ผ่านการศึกษาทางคลินิกว่าปลอดภัย ไม่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมหรือโรคร้ายแรงในคนทั่วไป

ข้อจำกัดของการเสริมซิลิโคน

  1. อาจรู้สึกว่าหน้าอกแข็งกว่าการเสริมด้วยไขมัน แม้ซิลิโคนจะพัฒนาให้สัมผัสใกล้เคียงเนื้อจริง แต่บางครั้งอาจยังรู้สึกแข็ง โดยเฉพาะคนผอมมากที่ไม่มีเนื้อหน้าอกคลุม หรือถ้าเกิดพังผืดรัดแน่น (Capsular Contracture)
  2. มีแผลผ่าตัด การใส่ซิลิโคนจำเป็นต้องผ่าตัดเปิดแผลบริเวณรักแร้ ใต้ราวนมหรือปานนม แม้ว่าแพทย์จะใช้เทคนิคซ่อนแผลให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังทำให้มีรอยแผลเป็น
  3. หากใช้ซิลิโคนที่ไม่ได้มาตรฐาน มีโอกาสเกิดพังผืดหรือซิลิโคนรั่ว ซิลิโคนคุณภาพต่ำอาจรั่วซึมได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้สร้างพังผืดหนา ทำให้หน้าอกแข็งผิดปกติ หรือผิดรูป อาจต้องผ่าตัดเอาออกหรือแก้ไขภายหลัง
  4. ต้องดูแลติดตามซิลิโคนในระยะยาว แม้จะไม่มีปัญหาเฉียบพลัน แต่ในระยะยาวควรตรวจติดตามด้วยวิธี MRI หรืออัลตราซาวด์ตามแพทย์แนะนำ เพื่อดูสภาพซิลิโคนและพังผืดรอบซิลิโคน

การเสริมซิลิโคนเหมาะกับใคร

  • ผู้ที่อยากเพิ่มขนาดหน้าอก 1-2 คัพขึ้นไป หรืออยากให้หน้าอกมีทรงชัดเจน เช่น เนินอกเต็ม ทรงกลม หรือทรงหยดน้ำ
  • ผู้ที่ไม่มีเนื้อหน้าอกเดิมหรือมีเนื้อหน้าอกน้อย จะได้ผลลัพธ์ดีกว่าการฉีดไขมัน เพราะซิลิโคนช่วยเติมเต็มได้โดยไม่ต้องพึ่งเนื้อเยื่อเดิม
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงรูปได้นาน โดยหลังผ่าตัดจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน และคงรูปได้นานโดยไม่ต้องเติมบ่อย
  • ผู้ที่มีปริมาณไขมันในร่างกายไม่มาก สำหรับคนผอมที่ไม่มีไขมันเพียงพอสำหรับฉีดไขมัน การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

การฉีดไขมันหน้าอก

การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง (Fat Grafting หรือ Fat Transfer) คือการดูดไขมันส่วนเกินจากบริเวณอื่น เช่น หน้าท้อง ต้นขา แล้วนำมาเข้าสู่กระบวนการปั่นแยกไขมันบริสุทธิ์ ก่อนฉีดกลับเข้าไปที่หน้าอก เพื่อเพิ่มขนาดหรือปรับรูปทรงของหน้าอก

ข้อดีของการฉีดไขมันหน้าอก

  1. สัมผัสนุ่มดูเป็นธรรมชาติ หน้าอกที่เสริมด้วยไขมันจะมีสัมผัสที่นิ่มคล้ายเนื้อหน้าอกจริงมากที่สุด เพราะเป็นเนื้อเยื่อจากร่างกายตัวเอง ไม่มีวัสดุสังเคราะห์ ทำให้จับแล้วดูเป็นธรรมชาติกว่าซิลิโคน
  2. ไม่มีสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องวัสดุแปลกปลอมในร่างกาย เช่น กลัวการแพ้ หรือไม่สบายใจกับการมีซิลิโคนอยู่ในร่างกาย
  3. ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่มีแผลยาว แผลเล็กขนาดประมาณ 1–2 มิลลิเมตรจากการดูดไขมันและฉีดไขมัน ไม่ต้องเปิดแผลยาวเหมือนการใส่ซิลิโคน ฟื้นตัวไว แผลหายเร็ว
  4. ได้รูปร่างดีขึ้นในบริเวณที่ดูดไขมัน การดูดไขมันมักทำจากหน้าท้อง เอว หรือต้นขา จึงสามารถช่วยปรับรูปร่างให้เพรียวขึ้นในจุดที่มีไขมันสะสมไปในตัว
  5. เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มขนาดเล็กน้อย ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะเพิ่มขนาดได้ประมาณหนึ่งคัพ หากต้องการความเปลี่ยนแปลงไม่มาก เช่น เติมให้หน้าอกเท่ากัน หรือเพิ่มความอวบเล็กน้อย

ข้อจำกัดของการฉีดไขมันหน้าอก

  1. ไขมันบางส่วนจะถูกดูดซึมกลับ ทำให้ผลลัพธ์อาจไม่คงที่ โดยทั่วไปไขมันที่ฉีดจะคงอยู่ประมาณ 50–70% ที่เหลือจะถูกร่างกายดูดซึมภายใน 3–6 เดือน ทำให้หน้าอกอาจยุบลงบางส่วน
  2. หากต้องการขนาดที่ใหญ่มากขึ้น ต้องเติมไขมันซ้ำ การเพิ่มขนาดหน้าอกมากเกินไปในครั้งเดียวอาจทำให้ไขมันไม่ติด ต้องค่อยๆ เติมหลายครั้งห่างกันอย่างน้อย 3–6 เดือน ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น
  3. ต้องมีปริมาณไขมันเพียงพอในร่างกาย ผู้ที่ผอมมากหรือไม่มีไขมันสะสมเพียงพอจะไม่สามารถทำได้ หรือได้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน เพราะไม่มีไขมันคุณภาพดีให้ดูดไปใช้
  4. หากดูดไขมันมาไม่ดีพอ อาจเกิดพังผืดหรือซีสต์ไขมันได้ ไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจตายบางส่วนและกลายเป็นซีสต์ไขมัน หรือไขมันแข็งตัวเป็นก้อน (Fat Necrosis) ได้ หากฉีดในปริมาณมากเกินไปในบริเวณเดียว
  5. ไม่เหมาะกับผู้ที่ผอมมากหรือไม่มีเนื้อหน้าอกเดิมเลย หน้าอกที่ไม่มีฐานเนื้อเดิมจะทำให้ไขมันที่ฉีดเข้าไปไม่มีพื้นที่ยึดเกาะ อาจไม่ติดและดูไม่สวย

การฉีดไขมันหน้าอกเหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มขนาดเล็กน้อย เช่น 0.5–1 คัพ หรือแค่ต้องการปรับรูปทรง เติมเนินอก หรือทำให้สองข้างเท่ากัน
  • ผู้ที่ต้องการสัมผัสที่นุ่มคล้ายเนื้อหน้าอกจริง เพราะไขมันเป็นเนื้อเยื่อจากตัวเอง จึงให้ผลลัพธ์ที่นิ่มและดูเป็นธรรมชาติที่สุด
  • ผู้ที่กังวลกับการใส่วัสดุแปลกปลอมหรือวัสดุสังเคราะห์เข้าร่างกาย 
  • ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินในร่างกายและอยากปรับรูปร่างไปพร้อมกัน เช่น มีไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา เอว และอยากปรับรูปร่างบางส่วนให้ดูเพรียวขึ้นในคราวเดียว
  • ผู้ที่ไม่สะดวกเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ และต้องการพักฟื้นไว

ไม่ว่าจะเลือกเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน หรือใช้ไขมันตัวเอง ต่างก็มีข้อดีที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันออกไป หากต้องการผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจน หน้าอกมีทรงตั้งแต่วันแรก ซิลิโคนอาจเป็นทางเลือกที่ใช่ แต่ถ้าไม่อยากมีสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ต้องการเพิ่มขนาดเพียงเล็กน้อย การฉีดไขมันก็อาจตอบโจทย์มากกว่า

รูปร่างแบบเราควรเสริมซิลิโคนหรือฉีดไขมันหน้าอกดี? วิธีไหนเสี่ยงน้อยและได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจกว่า? ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจากศัลยแพทย์ นัดคุย ผ่านทีม HDcare สะดวกรวดเร็ว ทันใจ หรือค้นหาแพ็กเกจผ่าตัดเสริมหน้าอก จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top