Default fallback image

ตรวจภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศชาย

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือที่มักเรียกกันว่า “นกเขาไม่ขัน” คือปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถเกิดได้กับผู้ชายวัยหนุ่มด้วยเช่นกัน ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เรื่องเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ส่วนตัวอีกด้วย 

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะดังกล่าวอย่างลึกซึ้ง พร้อมทั้งอธิบายขั้นตอนและวิธีการตรวจอย่างละเอียด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการประเมินจากแพทย์

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศชายคืออะไร?

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ คือภาวะที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวได้เต็มที่ หรือแข็งตัวได้ แต่ไม่นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ โดยอาการนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งคราวจากความเครียดหรือความเหนื่อยล้า โดยภาวะนี้มักจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ทั้งในแง่ความพึงพอใจส่วนตัว และความสัมพันธ์กับคู่รัก

ใครบ้างที่ควรเข้ารับการตรวจสมรรถภาพทางเพศ?

หากมีปัญหาดังต่อไปนี้ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจะช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและป้องกันปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่อาจแฝงอยู่

  • ผู้ที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับการแข็งตัว: ไม่ว่าจะเป็นการแข็งตัวไม่เต็มที่ ไม่แข็งตัวเลย หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอ
  • ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (มากกว่า 3 เดือน): หากปัญหาเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว อาจเกิดจากปัจจัยชั่วคราว แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่อง อาจบ่งบอกถึงปัญหาที่ต้องได้รับการรักษา
  • ผู้ที่มีปัญหาทางเพศร่วมกับมีโรคประจำตัวอื่นๆ: เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือโรคหัวใจ เนื่องจากภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเหล่านี้
  • ผู้ที่ต้องการประเมินสุขภาพเพศโดยรวม: เพื่อตรวจคัดกรองและป้องกันปัญหาสุขภาพในอนาคต โดยเฉพาะในผู้ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีอาการหลั่งเร็ว หรือไม่มีความต้องการทางเพศร่วมด้วย: เนื่องจากอาจมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกัน

ขั้นตอนและวิธีตรวจภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

การตรวจวินิจฉัยภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากหลายส่วน เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินและหาสาเหตุที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ

1. ซักประวัติ

แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการสอบถามอย่างละเอียดเกี่ยวกับประวัติสุขภาพส่วนตัว ประวัติทางเพศ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ การซักประวัติที่ครบถ้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยให้แพทย์เข้าใจถึงลักษณะของปัญหาและสาเหตุได้เป็นอย่างดี ข้อมูลที่แพทย์จะสอบถาม ได้แก่

  • ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
  • ระดับความต้องการทางเพศ (Libido) ว่ามีความต้องการทางเพศลดลงหรือไม่
  • ปัญหาเรื่องการแข็งตัวหรือการหลั่ง เช่น แข็งตัวไม่ได้เลย แข็งตัวไม่เต็มที่ แข็งตัวแต่เป็นระยะเวลาไม่นาน ไม่แข็งตัวตอนเช้า หรือมีปัญหาหลั่งเร็ว หลั่งช้า หรือไม่หลั่งเลย
  • โรคประจำตัวและประวัติการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่กล่าวมาข้างต้น
  • ยาที่ใช้ประจำ รวมถึงอาหารเสริมและสมุนไพรต่างๆ
  • ประวัติการผ่าตัดหรือการบาดเจ็บ โดยเฉพาะบริเวณอุ้งเชิงกรานหรืออวัยวะเพศ
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด พฤติกรรมการนอนหลับ การออกกำลังกาย และโภชนาการ
  • ปัจจัยทางจิตใจ ระดับความเครียด ภาวะวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า ปัญหาความสัมพันธ์ หรือปัญหาอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ

2. ตรวจร่างกายทั่วไป

การตรวจร่างกายจะช่วยให้แพทย์ประเมินสภาพร่างกายโดยรวมและหาความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะเสื่อสมรรถภาพทางเพศได้

  • วัดความดันโลหิต
  • ตรวจหัวใจและหลอดเลือด
  • ตรวจต่อมลูกหมาก โดยการคลำผ่านทางทวารหนัก (Digital Rectal Exam: DRE) เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะเพศ
  • ตรวจดูความผิดปกติของอัณฑะหรือองคชาต เช่น การคลำหาความผิดปกติของลูกอัณฑะ ขนาด รูปร่าง หรือตรวจหาพังผืดที่องคชาต (Peyronie’s disease) ซึ่งทำให้องคชาตโค้งงอเมื่อแข็งตัว
  • ตรวจลักษณะทางเพศชาย (Secondary Sexual Characteristics) เช่น การเจริญเติบโตของขนตามร่างกาย การกระจายของไขมัน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงระดับฮอร์โมนเพศชาย
  • วัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เพื่อประเมินภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

3. ตรวจระดับฮอร์โมนเพศ

การเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นขั้นตอนสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสงสัยว่ามีภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ แพทย์อาจพิจารณาตรวจฮอร์โมนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) หรือฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid Hormone) ซึ่งความผิดปกติของฮอร์โมนเหล่านี้ก็สามารถส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน

4. ตรวจเลือดอื่นๆ

เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมและคัดกรองโรคประจำตัวที่เป็นสาเหตุของภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

  • น้ำตาลในเลือด (FBS หรือ HbA1c) เพื่อประเมินภาวะเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  • ไขมันในเลือด (Cholesterol, Triglyceride, HDL, LDL) เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
  • การทำงานของตับและไต เพื่อดูว่ามีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะเหล่านี้หรือไม่

5. ตรวจการไหลเวียนเลือดบริเวณองคชาต (Penile Doppler Ultrasound)

เป็นวิธีการตรวจที่สำคัญ ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าสาเหตุของภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มาจากปัญหาเกี่ยวกับระบบหลอดเลือด การตรวจนี้จะใช้เครื่องอัลตราซาวด์ดูการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำขององคชาต ทั้งในขณะที่อวัยวะเพศอ่อนตัวและขณะแข็งตัวหลังจากการฉีดยาขยายหลอดเลือดเข้าไปในองคชาตเล็กน้อย การตรวจนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยประเมิน 3 ข้อหลักๆ

  • ประเมินประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่องคชาตว่ามีเลือดไหลเวียนเข้าสู่องคชาตเพียงพอหรือไม่
  • ประเมินการกักเก็บเลือดในองคชาตว่าหลอดเลือดดำสามารถกักเก็บเลือดไว้ในองคชาตได้ดีพอหรือไม่ เพื่อให้คงการแข็งตัวได้นาน
  • ตรวจหาการตีบตันหรือความผิดปกติอื่นๆ ของหลอดเลือด เช่น การแข็งตัวของหลอดเลือด

6. ทำแบบประเมิน IIEF-5 (International Index of Erectile Function-5)

เป็นแบบสอบถามมาตรฐานที่ใช้คัดกรองและประเมินระดับความรุนแรงของภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเบื้องต้น ประกอบด้วย 5 คำถามที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัว ความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ และความต้องการทางเพศ คะแนนที่ได้จะบ่งบอกว่าอาการอยู่ในระดับใด (รุนแรงน้อย ปานกลาง หรือรุนแรงมาก) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แพทย์และผู้ป่วยเข้าใจสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

การวินิจฉัยและแนวทางการรักษาเบื้องต้น

เมื่อแพทย์ได้ข้อมูลจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้งหมดแล้ว จะนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยแนวทางหลักๆ ได้แก่

  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต: เป็นการรักษาพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและสมรรถภาพทางเพศได้ เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม งดการสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และจัดการความเครียด
  • การใช้ยา: กลุ่มยากระตุ้นการแข็งตัว เช่น Sildenafil (ไวอากร้า), Tadalafil, Vardenafil หรือ Avanafil เป็นยาในกลุ่ม PDE5 inhibitors ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังองคชาตเมื่อมีการกระตุ้นทางเพศ อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงและข้อห้ามใช้ในบางราย
  • ฮอร์โมนบำบัด: สำหรับผู้ที่มีภาวะ Testosterone ต่ำ การให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเสริม (Testosterone Replacement Therapy: TRT) อาจช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศและการแข็งตัวได้ โดยมีรูปแบบยาหลายชนิด เช่น เจลทา แผ่นแปะ หรือยาฉีด การรักษาด้วยฮอร์โมนต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  • การรักษาด้วยอุปกรณ์:
    • เครื่องสุญญากาศ (Vacuum Erection Device: VED): เป็นอุปกรณ์ที่สร้างสุญญากาศรอบองคชาต ทำให้เลือดไหลเวียนเข้าไปในองคชาตและแข็งตัวขึ้น จากนั้นจึงใช้ห่วงรัดที่โคนองคชาตเพื่อคงการแข็งตัวไว้
    • การฉีดยาเข้าองคชาต (Penile Injections): เป็นการฉีดยา เช่น Alprostadil เข้าไปในองคชาตโดยตรงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการแข็งตัว
    • การใส่ยาเหน็บในท่อปัสสาวะ (Urethral Suppositories): เป็นการใส่ยา Alprostadil ขนาดเล็กเข้าไปในท่อปัสสาวะ
  • การทำจิตบำบัด (Psychotherapy) หรือการปรึกษาคู่รัก (Couple’s Counseling): ในกรณีที่สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความเครียด ความกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือปัญหาความสัมพันธ์ การบำบัดเหล่านี้จะช่วยจัดการกับต้นตอทางจิตใจและอารมณ์
  • การผ่าตัด: ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือมีสาเหตุทางกายภาพที่รุนแรง เช่น ปัญหาหลอดเลือดที่ซับซ้อน หรือการใส่แกนองคชาตเทียม (Penile Implant) ซึ่งเป็นการผ่าตัดฝังอุปกรณ์เข้าไปในองคชาตเพื่อให้สามารถแข็งตัวได้

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศชายไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นปัญหาทางสุขภาพที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาได้ การทำความเข้าใจสาเหตุ การเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องจากแพทย์ผู้ชำนาญการ จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาและแนวทางในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้อย่างตรงจุด

อยากตรวจภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศชาย ต้องทำอย่างไร? ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top