Default fallback image

เจ็บหน้าอก เหนื่อย หอบ ระวังหนองในเยื่อหุ้มปอด

เมื่อคุณเริ่มรู้สึกเจ็บหน้าอกขณะหายใจ มีไข้ เหนื่อยง่าย หรือไอออกมาเป็นเสมหะปนเลือด อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา แต่กำลังส่งสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่านั้น หนึ่งในโรคที่ควรระวังอย่างยิ่งคือ “หนองในเยื่อหุ้มปอด” ซึ่งแม้จะไม่ใช่โรคที่พบได้บ่อยในทุกคน แต่หากเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา และแนวทางป้องกัน เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกวิธี

หนองในเยื่อหุ้มปอด คืออะไร?

หนองในเยื่อหุ้มปอด (Empyema Thoracis) คือภาวะที่มีหนองสะสมอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอด ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างเยื่อ 2 ชั้นที่หุ้มรอบปอด โดยปกติในช่องว่างนี้จะมีน้ำหล่อลื่นเพียงเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ปอดเคลื่อนไหวขณะหายใจได้สะดวก แต่เมื่อเกิดการติดเชื้อ อาจมีหนองหรือเลือดสะสมขึ้น ส่งผลให้เยื่อหุ้มปอดเกิดการระคายเคืองและอักเสบ

โรคนี้มักเกิดตามหลังการติดเชื้อในปอด เช่น ปอดอักเสบ และสามารถเกิดได้ทั้งในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้สูงอายุ

สาเหตุของภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอด

ภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอดเกิดจากหลายปัจจัย โดยมักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคหรือภาวะดังต่อไปนี้

  • ปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • วัณโรคปอด
  • มะเร็งปอด
  • ฝีตับอะมีบา
  • โรคตับ เช่น ตับแข็ง หรือตับอ่อนอักเสบ
  • ภาวะหัวใจวาย
  • เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น SLE หรือรูมาตอยด์
  • การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดบริเวณทรวงอก

อาการของหนองในเยื่อหุ้มปอด

อาการอาจเริ่มต้นไม่ชัดเจน แต่จะมีความรุนแรงขึ้นตามปริมาณหนองที่สะสม อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • เจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึกๆ (เจ็บแปลบ)
  • ไอเรื้อรัง อาจมีเสมหะปนเลือดหรือหนอง
  • หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย หอบ
  • ไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • ในบางรายอาจมีอาการปวดท้อง ท้องบวม หรือปวดตามข้อกระดูก ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นต้นเหตุ

หากมีอาการดังกล่าว โดยเฉพาะในคนที่เพิ่งหายจากปอดอักเสบ ควรรีบพบแพทย์ทันที

กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง

แม้โรคนี้จะสามารถเกิดกับคนทั่วไปได้ แต่กลุ่มต่อไปนี้มีความเสี่ยงสูง

  • ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง หรือปอดอักเสบเรื้อรัง โรคเหล่านี้ทำให้ปอดอ่อนแอและมีแนวโน้มติดเชื้อได้ง่าย เมื่อปอดติดเชื้อ อาจลุกลามมายังเยื่อหุ้มปอดได้
  • ผู้ที่เพิ่งติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรง เช่น ปอดบวม อาจทำให้เชื้อโรคแพร่เข้าสู่ช่องเยื่อหุ้มปอดและเกิดหนองได้
  • ผู้สูงอายุ ภูมิคุ้มกันของร่างกายมักลดลงตามอายุ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น
  • ผู้ป่วยเบาหวาน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่สมบูรณ์ไม่สามารถควบคุมเชื้อโรคได้ดี จึงเกิดการลุกลามของการติดเชื้อได้ง่าย
  • ผู้สูบบุหรี่ หรือเคยผ่านการผ่าตัดในทรวงอก การสูบบุหรี่ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจเสียหาย เพิ่มโอกาสติดเชื้อ ส่วนผู้ที่เคยผ่าตัดทรวงอกอาจมีแผลหรือเนื้อเยื่อผิดปกติที่เป็นจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

การวินิจฉัยภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอด

แพทย์จะเริ่มต้นจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการใช้เครื่องฟังเสียงหายใจ (Stethoscope) หากพบเสียงหายใจผิดปกติ เช่น เสียงลดลงหรือมีเสียงเสียดสีจากเยื่อหุ้มปอด จะพิจารณาใช้วิธีวินิจฉัยเพิ่มเติม ดังนี้

  • การเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้เห็นความผิดปกติในช่องอก เช่น พบเงาทึบในช่องเยื่อหุ้มปอด ที่บ่งชี้ว่ามีของเหลวหรือหนองสะสมอยู่
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan)เป็นการตรวจที่ให้รายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่าเอกซเรย์ปกติ ช่วยแยกแยะได้ว่าของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอดเป็นหนอง น้ำ หรือเลือด และช่วยให้เห็นขอบเขตของหนองหรือพังผืดเพื่อวางแผนการรักษา
  • การเจาะน้ำจากช่องเยื่อหุ้มปอด (Thoracentesis) เป็นการใช้เข็มเจาะดูดของเหลวออกมาตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อ เช่น ตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย เชื้อมะเร็ง หรือวัณโรค และยังช่วยลดความดันในช่องอก ทำให้ผู้ป่วยหายใจสะดวกขึ้นด้วย
  • การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging) มักใช้ในกรณีที่เอกซเรย์หรือ CT-Scan ยังให้ข้อมูลไม่เพียงพอ โดยเฉพาะหากแพทย์สงสัยว่ามีการลุกลามของเชื้อไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวซับซ้อน การตรวจ MRI จะช่วยให้เห็นโครงสร้างภายในช่องอกได้อย่างละเอียด โดยไม่ใช้รังสี

วิธีรักษาภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอด

การรักษาภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอดขึ้นอยู่กับระยะของโรคและความรุนแรงของการติดเชื้อ โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้

1. ระยะแรก (ระยะเฉียบพลัน)

  • การระบายหนองออกจากช่องเยื่อหุ้มปอด แพทย์จะใส่ท่อระบาย (Chest Tube หรือ Pleural drain) เพื่อดูดหนองออกมา ซึ่งช่วยลดแรงดันในช่องอกและลดการอักเสบของเยื่อหุ้มปอด
  • ให้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ใช้รักษาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ โดยให้ยานานอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เพื่อกำจัดการติดเชื้อและป้องกันไม่ให้ลุกลาม

2. ระยะรุนแรงหรือเรื้อรัง

  • การผ่าตัด (Decortication) หากการระบายหนองด้วยท่อไม่สำเร็จ หรือพบว่ามีพังผืดหรือเยื่อหุ้มปอดแข็งตัวจนกดทับปอด ทำให้ปอดขยายตัวไม่ได้ จำเป็นต้องผ่าตัดเอาหนองและพังผืดออก ปัจจุบันนิยมใช้การผ่าตัดส่องกล้องแบบ VATS (Video-Assisted Thoracoscopic Surgery) ที่แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และลดภาวะแทรกซ้อน
  • การรักษาเสริม ในบางกรณีอาจใช้ยาละลายพังผืดผ่านท่อระบายเพื่อช่วยให้หนองระบายออกได้ดีขึ้น

การป้องกันภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอด

แม้ว่าภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอดจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้ ดังนี้

  1. รักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจให้หายขาดและเร็วที่สุด เช่น ปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เพื่อป้องกันการลุกลามเป็นหนองในเยื่อหุ้มปอด
  2. ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี เช่น เบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคปอดเรื้อรัง เพราะโรคเหล่านี้ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อน
  3. เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่ทำลายปอดและระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  5. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาดและมีอากาศถ่ายเทดี ลดการสัมผัสกับฝุ่น ควัน และสารเคมีที่อาจกระตุ้นให้ระบบทางเดินหายใจอักเสบ
  6. รับวัคซีนที่แนะนำเพื่อป้องกันโรคปอด เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine) และวัคซีนป้องกันปอดบวม (Pneumococcal Vaccine) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อที่อาจลุกลามจนเป็นหนองในเยื่อหุ้มปอด

ภาวะหนองในเยื่อหุ้มปอดเป็นโรคที่ควรได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและถูกต้อง การสังเกตอาการและรู้จักปัจจัยเสี่ยง รวมถึงเข้าพบแพทย์ทันทีเมื่อมีความผิดปกติ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ฟื้นตัวได้ดี

ไอไม่หยุด เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ใช่สัญญาณของภาวะหนองในปอดไหม? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top