chronic headache screening process scaled

ปวดหัว เป็นๆ หายๆ ต้องรีบตรวจ! ขั้นตอนการตรวจมีอะไรบ้าง?

อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ หากปล่อยไว้อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ในระยะยาว ดังนั้น ควรรีบพบแพทย์และรับการตรวจที่เหมาะสม บทความนี้จะพามาดูขั้นตอนการตรวจที่ควรรู้ สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไม่หายสักที

ปวดหัวเป็นๆ หายๆ บอกโรคอะไรได้บ้าง

อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหรือภาวะต่างๆ ดังนี้

  • ไมเกรน (Migraine) มีอาการปวดหัวข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ร่วมกับอาการคลื่นไส้ แพ้แสงหรือเสียง
  • ปวดหัวจากความเครียด (Tension Headache) ปวดตื้อๆ เหมือนมีอะไรกดรัดรอบศีรษะ มักเกิดจากความเครียด หรือการทำงานหนัก
  • ปวดหัวคลัสเตอร์ (Cluster Headache) อาการปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตา และเป็นช่วงเวลาเดียวกันของวัน
  • โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) ความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย
  • เนื้องอกในสมอง อาจมีอาการปวดหัวร่วมกับอาการอื่น เช่น การมองเห็นผิดปกติ หรือชัก
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) ปวดหัวรุนแรง มีไข้ และคอแข็ง
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อาจมีอาการปวดหัวเฉียบพลันร่วมกับอาการแขนขาอ่อนแรงหรือพูดลำบาก

หากคุณมีอาการปวดหัวเรื้อรังหรือมีอาการเตือนที่ผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

ขั้นตอนการตรวจ มีอะไรบ้าง?

1. การซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น

เมื่อเข้าพบแพทย์ ขั้นตอนแรกคือการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น เพื่อประเมินลักษณะของอาการ เช่น

  • ลักษณะของการปวด ปวดจี๊ด ปวดหนัก หรือปวดตุบๆ
  • ตำแหน่งที่ปวด ปวดข้างเดียว ทั้งสองข้าง หรือทั่วศีรษะ
  • เวลาที่ปวด ปวดเฉพาะช่วงเวลา หรือปวดต่อเนื่อง
  • ปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด แสงจ้า หรือการอดนอน

แพทย์อาจตรวจร่างกายเพิ่มเติม เช่น วัดความดันโลหิต และตรวจดูปฏิกิริยาของระบบประสาทพื้นฐาน เช่น การตอบสนองของดวงตา และการเคลื่อนไหวของแขนขา

2. การตรวจเลือด

การตรวจเลือดช่วยประเมินภาวะที่อาจเป็นต้นเหตุของอาการปวดหัว เช่น

  • ภาวะโลหิตจาง อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะร่วมกับปวดหัว
  • การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่กระทบต่อระบบประสาท
  • ภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ เช่น โซเดียมหรือโพแทสเซียมที่ไม่สมดุล

3. การตรวจระบบประสาท

หากแพทย์สงสัยว่าอาการปวดหัวอาจเกี่ยวข้องกับระบบประสาท อาจตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • ตรวจความสมดุลและการเดิน
  • ตรวจการมองเห็นและการเคลื่อนไหวของดวงตา
  • ตรวจปฏิกิริยาตอบสนองของกล้ามเนื้อ

4. การตรวจภาพสมอง

แพทย์มักจะตรวจภาพสมองในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวร่วมกับอาการเตือนอื่นๆ เช่น อาเจียนรุนแรง ซึม หรือชัก แพทย์อาจเลือกวิธีตรวจดังนี้

4.1 การตรวจ CT Scan

เป็นการใช้รังสีเอกซเรย์เพื่อสร้างภาพสามมิติของสมอง เหมาะสำหรับการตรวจหาความผิดปกติ เช่น เลือดออกในสมอง หรือเนื้องอก

4.2 การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging)

เป็นการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสร้างภาพละเอียดของสมอง ใช้เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่ CT Scan อาจมองไม่เห็น เช่น เนื้องอกขนาดเล็ก หรือหลอดเลือดผิดปกติ

4.3 การตรวจ MRA และ MRV

  • MRA (Magnetic Resonance Angiography) ตรวจหลอดเลือดสมอง
  • MRV (Magnetic Resonance Venography) ตรวจหลอดเลือดดำในสมอง

ใช้ในกรณีที่สงสัยว่าอาการปวดหัวเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือด เช่น ลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ

5. การเจาะน้ำไขสันหลัง

ใช้ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่า อาการปวดหัวเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ แพทย์อาจเจาะน้ำไขสันหลัง เพื่อตรวจหาการติดเชื้อหรือความผิดปกติอื่นๆ

การวางแผนการรักษา หลังการตรวจ

หลังจากได้รับผลการตรวจ แพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เช่น

  • การใช้ยาแก้ปวด หรือยาป้องกันไมเกรน
  • การปรับพฤติกรรม เช่น การจัดการความเครียด การปรับการนอน
  • การส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์เฉพาะทาง เช่น แพทย์ระบบประสาท หรือศัลยแพทย์

หากคุณมีอาการปวดหัวที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการร่วม เช่น อาเจียนรุนแรง หรือหมดสติ ควรพบแพทย์ทันที การพบแพทย์และตรวจตามขั้นตอนที่เหมาะสมจะช่วยให้ทราบถึงต้นเหตุและรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที อย่ารอจนสายเกินไป

ปวดหัวเป็นๆ หายๆ เสี่ยงโรคร้ายหรือเปล่า? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top