การใช้ถุงยางอนามัยถือเป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจสงสัยว่าหากใช้ถุงยางแล้วจำเป็นต้องกินยาคุมกำเนิดเพิ่มหรือไม่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจและลดโอกาสการตั้งครรภ์ การทำความเข้าใจเรื่องนี้จะช่วยให้คุณเลือกวิธีคุมกำเนิดได้เหมาะสมและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ใส่ถุงยางแล้วต้องกินยาคุมกำเนิดหรือไม่ ?
การใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและไม่มีการรั่วหรือหลุด สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึงประมาณ 98% หากใช้งานอย่างเหมาะสม แต่ในกรณีที่ต้องการเพิ่มระดับความมั่นใจ หรือมีความกังวลเรื่องความผิดพลาด เช่น ถุงยางแตก รั่ว หรือหลุดกลางทาง การใช้ ยาคุมกำเนิด ร่วมด้วยอาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะยาคุมแบบรายเดือนที่มีฮอร์โมนป้องกันการตกไข่.
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาคุมและถุงยางอนามัยร่วมกันควรทำเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพราะการใช้ถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียวหากใช้อย่างถูกต้องก็เพียงพอในการป้องกันทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
คำถามจากผู้ใช้บริการ HDmall
มีเพศสัมพันธ์กับแฟนครั้งแรก ใส่ถุงยางอนามัยแล้วเสร็จในถุง จำเป็นต้องกินยาคุมไหมคะ กังวลค่ะ ?
ถ้าได้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องแล้วโอกาสตั้งครรภ์ก็มีเพียง 2% เท่านั้นครับ ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาคุมเพิ่มอีกครับ
ตอบโดย นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์
ถ้าเรามีเพศสัมพันธ์แต่ใส่ถุงยางอนามัย(ถ้าถุงไม่รั่ว)ต้องกินยาคุมไหมค่ะ ละถ้าถุงรั่วต้องกินยาคุมอะไรก่อนค่ะ กินยังไง?? ขออธิบายแบบละเอียดๆ
การมีเพศสัมพันธ์โดยการใช้ถุงยางอนามัยนั้นเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ปลอดภัยวิธีหนึ่งครับ ถ้าหากใช้ได้อย่างถูกต้องและไม่มีการแตกรั่ว โอกาสที่จะผิดพลาดตั้งครรภ์ก็มีเพียง 2% เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาคุมใดๆเพิ่มเติมครับ
แต่ถ้าหากถุงยางอนามัยมีการแตกรั่วระหว่างมีเพศสัมพันธ์ก็ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเพิ่มเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ครับ
การรับประทานยาคุมฉุกเฉินนั้นควรรับประทานให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์เพื่อที่จะช่วยลดโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ลง 75-85% แต่ถ้าหากเลยช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วก็ยังอนุโลมให้รับประทานภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไปครับ
โดยทั่วไปแล้วในยาคุมฉุกเฉิน 1 แผงจะมียา 2 เม็ด สามารถรับประทานได้ 2 วิธี คือ
- รับประทานพร้อมกันทีเดียว 2 เม็ด
- รับประทานทีละ 1 เม็ดห่างกัน 12 ชั่วโมง
ซึ่งจะเลือกรับประทานยาด้วยวิธีใดก็ได้เพราะประสิทธิภาพของยาจะเท่ากันครับ แต่การรับประทานในรูปแบบ 2 เม็ดพร้อมกันอาจมีข้อดีเหนือกว่าตรงที่ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมรับประทานยาเม็ดที่ 2
แต่ก็อาจมียาคุมฉุกเฉินบางยี่ห้อที่มียา 1 เม็ดในแผงเดียว ก็สามารถรับประทานยาเม็ดนั้นเม็ดเดียวได้เลยครับ
นอกจากนี้ก็ยังสามารถรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนควบคู่ไปกับการใช้ถุงยางอนามัยได้ด้วยครับ วิธีนี้จะช่วยให้การมีเพศสัมพันธ์มีความปลอดภัยมากขึ้นและเมื่อถุงยางอนามัยแตกรั่วก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินเพิ่มเติมครับ
การรับประทานยาคุมแบบรายเดือนนั้นสามารถเริ่มรับประทานได้ 2 วิธี คือ
- เริ่มรับประทานภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ก็จะมีผลให้ยาคุมเริ่มป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีหลังรับประทานยา
- ถ้าเริ่มรับประทานช้ากว่า 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ก็จะต้องรับประทานยาคุมติดต่อกันอย่างน้อย 7 วันก่อน ยาคุมจึงจะเริ่มป้องกันการตั้งครรภ์ได้
หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องรับประทานยาคุมรายเดือนต่อในทันทีครับ เนื่องจากยาคุมแบบรายเดือนจะไม่มีผลป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีที่ได้มีความผิดพลาดจากการมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว และก่อนรับประทานยาคุมแบบรายเดือนก็ควรมั่นใจก่อนว่าไม่มีการตั้งครรภ์ครับ
ในกรณีที่ได้มีความผิดพลาดจากการใช้ถุงยางอนามัยไปแล้วหมอก็แนะนำให้รับประทานยาคุมฉุกเฉินตามวิธีที่หมอแนะนำไปก่อน
และถ้าหากมีประจำเดือนมาแล้วและยังต้องการรับประทานยาคุมแบบรายเดือนอยู่ก็สามารถเริ่มรับประทานได้ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนครับ
ตอบโดย นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์
หากใช้ถุงยางถูกต้องและไม่รั่วซึม/ฉีกขาด/เลื่อนหลุด จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 2% ซึ่งถือว่าน้อยมาก และไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีคุมกำเนิดฉุกเฉินร่วมด้วยค่ะ
แต่ถ้าใช้ถุงยางไม่ถูกต้อง หรือมีปัญหารั่วซึม/ฉีกขาด/เลื่อนหลุด จะมีความเสี่ยงสูงที่จะคุมกำเนิดล้มเหลวและตั้งครรภ์ จึงจำเป็นจะต้องใช้วิธีคุมกำเนิดฉุกเฉินร่วมด้วย ซึ่งมี 2 ทางเลือก
- วิธีแรก รับประทาน “ยาคุมฉุกเฉิน” โดยเร็วที่สุดที่ทำได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่วิธีนี้มีประสิทธิภาพไม่สูงมาก แม้จะใช้ครบขนาดและทันเวลา ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ 15 – 25% และไม่มีผลคุมกำเนิดต่อเนื่องหลังรับประทาน หากจะมีเพศสัมพันธ์ซ้ำก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง
- วิธีที่สอง ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อใส่ “ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดง” ภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ วิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงมาก ผู้ใช้มีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.6 – 0.8% และมีผลคุมกำเนิดต่อเนื่องได้นาน 3 – 10 ปี ขึ้นกับรุ่นของห่วงอนามัยที่ใช้ค่ะ
ส่วน “ยาคุมรายเดือน” ไม่มีผลคุมกำเนิดฉุกเฉิน การรับประทานหลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน หรือหลังพบว่าถุงยางรั่วซึม ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ และยิ่งจะทำให้ประจำเดือนเลื่อนช้าออกไปมากขึ้น จึงไม่แนะนำให้ใช้ค่ะ
ยาคุมรายเดือนไม่มีผลคุมกำเนิดฉุกเฉินค่ะ การใช้ร่วมกับยาคุมฉุกเฉินไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่จะทำให้ประจำเดือนเลื่อนช้าออกไปมากขึ้น อีกทั้ง หากใช้ยาคุมรายเดือนแผงแรกไม่ทัน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ก็ไม่มีผลคุมกำเนิดได้ทันทีหลังรับประทาน การใช้ในกรณีนี้จึงไม่มีประโยชน์และไม่แนะนำให้ใช้ค่ะ
หากไม่ตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาคุมฉุกเฉินจะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติ หรือคลาดเคลื่อนเพียงไม่กี่วัน (ส่วนเลือดกะปริบกะปรอยที่เป็นผลข้างเคียงจากยา อาจพบภายใน 7 วันหลังรับประทาน หรืออาจไม่พบเลยก็ได้ ไม่สำคัญค่ะ)
เมื่อมีประจำเดือนมาแล้วก็หมายถึงไม่มีการตั้งครรภ์นะคะ หากผู้ถามต้องการจะคุมกำเนิดต่อ ก็ให้เริ่มใช้ยาคุมรายเดือนแผงแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน และจะถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้เลยตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทานค่ะ
แต่ถ้าไม่มีประจำเดือนมา หรือกังวลว่าจะตั้งครรภ์ แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ
ตอบโดย ภกญ. จินตนา แสงโพธิ์
มีอะไรกับแฟนแต่ใส่ถุงยาง แฟนไม่หลั่งไม่เสร็จ ไม่มีน้ำอสุจิไหล แต่กังวลว่าจะท้อง สามารถกินยาคุมฉุกเฉินหรือควรจะกินไหมค่ะ แล้วมีโอกาสท้องมากไหมค่ะ ?
ถ้าสามารถสวมใส่ถุงยางอนามัยได้ถูกต้อง ไม่มีการแตกรั่วของถุงยางอนามัย ตัวถุงยางอนามัยจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 98%
ในขณะที่การรับประทานยาคุมฉุกเฉินช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียง 75-85% เท่านั้น
ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ยกเว้นแต่ว่าถุงยางอนามัยมีการแตกรั่ว มีการใช้ถุงยางอนามัยซ้ำ มีถุงยางอนามัยหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือมีการใช้ถุงยางอนามัยผิดพลาดด้วยวิธีอื่นๆ ครับ
ตอบโดย นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์
ถ้าไม่ทราบล่ะค่ะ ว่ามีการรั่วของถุงยางรึว่าใส่ผิด ควรทำยังไงค่ะ เพราะว่าแฟนไม่หลั่งเลยค่ะ ควรจะกินยาคุมไหมค่ะตอนนี้กังวลมาก ?
การที่จะรับประทานยาคุมฉุกเฉินหรือไม่คงต้องลองประเมินจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูเองครับ ว่ามีโอกาสที่จะใช้ถุงยางอนามัยผิดพลาดหรือไม่ หมอคงไม่สามารถบอกได้ในที่นี้
หมอสามารถให้ข้อมูลได้ว่าถ้าใช้ถุงยางอนามัยได้ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินตามที่อธิบายไปข้างต้น
ถ้าคิดว่าจะมีการผิดพลาดของการใช้ถุงยางอนามัย จะรับประทานยาคุมฉุกเฉินกันไว้ก็ได้ครับ
การรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะมีระดับฮอร์โมนในเม็ดยาคุมที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดทั่วไป ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆได้ง่าย เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน คัดตึงเต้านม ตกขาวมากผิดปกติ เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน ประจำเดือนมาเร็วหรือมาช้ากว่ากำหนด
คำแนะนำสำหรับการรับประทานยาคุมฉุกเฉินจึงแนะนำให้รับประทานเฉพาะกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือมีความผิดพลาดของการป้องกันเท่านั้นครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงโดยไม่จำเป็น
ตอบโดย นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กินยาคุมก่อนเวลาได้ไหม ?
- กินยาคุม หลั่งในวันไข่ตก ปลอดภัยไหม ?
- ใส่ถุงยางแต่เมนส์ไม่มา 1 เดือน ปกติไหม ?
คำถามสุขภาพที่พบบ่อย