ซิฟิลิส เป็นโรคที่สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก ผู้ที่ติดเชื้อมักจะไม่มีอาการใดๆ ในระยะแรก ทำให้เชื้อสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ข้อมูลต่อไปนี้จะช่วยป้องกันคุณจากการติดเชื้อได้
สารบัญ
ความหมายของโรคซิฟิลิส
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม (Treponema pallidum) ซึ่งมีขนาดเล็กมากและสามารถอาศัยอยู่ได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย โดยหากส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเห็นเชื้อตัวนี้มีลักษณะเหมือนเกลียวสว่าน (Spirochete bacteria)
สำหรับสถิติของโรคซิฟิลิสนั้น ตั้งแต่ในช่วงทศวรรษที่ 1990 พบว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง แต่จากรายงานที่ผ่านมาพบว่า ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มชายรักชาย
ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อปลายเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา ศูนย์กามโรคบางรักได้ออกประกาศสั้นๆ ว่า “ซิฟิลิสกลับมาระบาดอีกครั้ง” นั่นทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจโรคซิฟิลิสกันมากขึ้นว่าโรคนี้คืออะไร ความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
การติดต่อระหว่างกันของผู้ป่วยโรคซิฟิลิส
เชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการให้เกิดโรคซิฟิลิสสามารถแพร่จากคนไปสู่คนผ่านการสัมผัสแผลที่เกิดจากโรคโดยตรง
แผลดังกล่าวมักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือภายในช่องปาก ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือการออรัลเซ็กส์กับผู้ป่วยซิฟิลิส จึงล้วนทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทั้งนั้น
นอกจากนี้เชื้อยังสามารถติดต่อได้โดยการจูบ หรือสัมผัสแผลบริเวณหน้าอก แผลในปาก หรืออวัยวะเพศ ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อนี้ก็สามารถแพร่เชื้อไปยังทารกในครรภ์ ทำให้เกิดโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกมีความผิดปกติ หรือเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม เชื้อซิฟิลิสจะไม่ติดต่อผ่านการใช้ของใช้ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ้าเช็ดตัว การใช้ช้อน การสัมผัสลูกบิดประตู การว่ายน้ำในสระเดียวกัน หรือการนั่งฝารองชักโครกร่วมกัน
อาการของโรคซิฟิลิส
ผู้ป่วยโรคนี้มักไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ เนื่องจากอาการของโรคซิฟิลิสจะเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงระยะ 10 วันถึง 3 เดือนหลังจากได้รับเชื้อ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะแสดงอาการในช่วง 3 สัปดาห์ และหากไม่ได้รับการรักษา อาการในระยะที่ 2 ก็จะปรากฏขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในช่วงประมาณ 2-10 สัปดาห์หลังจากที่แผลริมแข็งในระยะที่ 1 ปรากฏขึ้น
ผู้ติดเชื้อซิฟิลิสจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อหรือมีอาการของโรค ทำให้ไม่ได้รับการรักษาก่อนเชื้อแสดงอาการ และยังแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ง่าย ดังนั้นหากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยง คุณควรแจ้งแพทย์เพื่อทำการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วย แม้คุณจะไม่ได้มีอาการใดๆ ก็ตาม
อาการของโรคซิฟิลิสแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ดังนี้
ระยะที่ 1
ในระยะแรกของการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีแผลลักษณะแข็งๆ สีแดง ขอบนูน ที่มักเรียกว่า “แผลริมแข็ง” (Chancre) ปรากฎขึ้นบริเวณช่องคลอด ทวารหนัก องคชาต หรือปาก อาจมีเพียงแผลเดียว หรือหลายๆ แผลก็ได้
ซึ่งจะเกิดขึ้นบริเวณที่ได้รับเชื้อ แผลนี้ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตในระยะนี้ด้วย
แผลริมแข็งจะหายไปภายใน 3-6 สัปดาห์ แม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษาก็ตาม แต่เชื้อจะยังคงแฝงตัวอยู่ในร่างกาย นั่นหมายความว่า หากไม่ได้รับการรักษา อาการของโรคก็จะกำเริบรุนแรงกว่าเดิมเมื่อเข้าสู่ระยะถัดไป
เชื้อซิฟิลิสสามารถแพร่กระจายได้ง่ายมากในระยะแรก อีกทั้งผู้ติดเชื้อในระยะนี้มักจะไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจนนัก ไม่มีอาการเจ็บปวด หรือแผลที่เกิดขึ้นอยู่ในบริเวณที่มองไม่เห็น เช่น ในปาก ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต ปากมดลูก หรือที่ทวารหนัก ทำให้ผู้ติดเชื้ออาจไม่รู้ตัวและแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ระยะที่ 2
เมื่อติดเชื้อแล้วไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยซิฟิลิสจะเริ่มแสดงอาการมากขึ้น โดยมีผื่นขึ้นตามฝ่ามือและฝ่าเท้า แต่ไม่มีอาการคัน
นอกจากนี้ยังอาจมีไข้ รู้สึกอ่อนเพลีย ผมร่วง และปวดเมื่อยตามตัว โดยมีอาการเกิดขึ้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ หรือหลายเดือนหลังจากเกิดแผลริมแข็งในระยะแรก ผื่นในระยะนี้จะยังเป็นผื่นจางๆ มีลักษณะคล้ายผดผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อทั่วไปทำให้ผู้ป่วยอาจไม่สนใจและไม่สังเกตเห็น
บางรายอาจมีแผลบริเวณริมฝีปาก ในปาก ในลำคอ ช่องคลอด และทวารหนักร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อในระยะนี้จะไม่มีแผลเกิดขึ้นเลย
อาการในระยะที่ 2 นี้จะหายไปเองได้ แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่อาการของโรคก็จะรุนแรงมากขึ้นอีกและเชื้อซิฟิลิสยังคงแพร่กระจายได้ง่ายในระยะนี้
ระยะแฝงเชื้อ
ระยะนี้เริ่มขึ้นหลังจากอาการของระยะที่หนึ่งและระยะที่สองผ่านไปแล้ว หากผู้ติดเชื้อยังไม่ได้รับการรักษา แม้ว่าอาการต่างๆ ของโรคจะหายไป แต่เชื้อจะยังคงแฝงตัวอยู่ภายในร่างกาย และอยู่ต่อไปได้นานหลายปี หรือตลอดชีวิตโดยไม่แสดงอาการใดๆ
ระยะที่ 3
หากยังไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยประมาณ 15% จะเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรคซิฟิลิสและแสดงอาการแม้จะผ่านไปแล้ว 10-20 ปีหลังจากที่ได้รับเชื้อ
เนื่องจากเชื้อได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และค่อยๆ ทำลายอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ได้แก่ สมอง เส้นประสาท ไขสันหลัง ดวงตา หัวใจ เส้นเลือด ตับ และกระดูก
ทำให้ผู้ติดเชื้อซิฟิลิสในระยะสุดท้ายมีอาการป่วยทางจิต สมองเสื่อม การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กัน ไม่สามารถเดินได้ตามปกติ ตัวชา ตาบอดลงทีละน้อย และอาจเสียชีวิตในที่สุด
ผลกระทบจากการติดเชื้อซิฟิลิส
เชื้อซิฟิลิสนั้นอันตรายมากหากไม่ได้รับการรักษา ไม่ว่าในหญิง หรือชายก็ตาม เพราะเชื้อสามารถแพร่กระจายไปทั่วร่างกายและส่งผลต่ออวัยวะสำคัญต่างๆ หรือทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพร้ายแรง ซึ่งเมื่อมาถึงในระยะนี้จะไม่สามารถรักษาได้อีกต่อไป
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษามีความเสี่ยงสูงที่ทารกในครรภ์จะได้รับอันตราย เสียชีวิตในครรภ์ หรือเสียชีวิตหลังคลอด และยังอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้
นอกจากนี้เชื้อซิฟิลิสยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ง่ายเมื่อมีแผลเกิดขึ้น หรือเมื่อแผลซิฟิลิสมีเลือดออกและไปสัมผัสเข้ากับเชื้อเอชไอวี
โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
โรคซิฟิลิสนั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ หากพบว่าการติดเชื้อของผู้ป่วย อยู่ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี จะสามารถหยุดการลุกลามของโรคได้ ด้วยการฉีดยาเพนิซิลลินเพียง 1 เข็ม แต่ถ้าผู้ป่วยมีการติดเชื้อเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปี อาจต้องรับการยาฉีดชนิดนี้มากขึ้นอีก
เมื่อพบว่าผู้ป่วยแพ้ยาเพนิซิลลิน แพทย์ก็จะเสนอการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดอื่นๆ แต่กระนั้น ยาเพนิซิลลินเป็นยาปฏิชีวนะเพียงชนิดเดียว ที่สามารถใช้กับสตรีมีครรภ์ได้
การรักษาโรคซิฟิลิส
การติดเชื้อซิฟิลิสในระยะแรกนั้นสามารถรักษาให้หายได้ง่ายแต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงทางสุขภาพจนถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคซิฟิลิส คือเราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หากสงสัยว่า ตนเองอาจติดเชื้อ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะหากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ แนะนำให้ไปพบแพทย์ หรือสูติแพทย์ตามโรงพยาบาลหรือคลินิกที่รับตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งคุณสามารถโทรสอบถามข้อมูลจากสถานพยาบาลแต่ละแห่งได้โดยตรง
การรักษาซิฟิลิสจะขึ้นอยู่กับระยะการติดเชื้อ ซึ่งแพทย์จะรู้ได้จากการนำเนื้อเยื่อหรือชิ้นส่วนจากแผลไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการและส่องดูเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบพิเศษ หรืออาจใช้วิธีการตรวจเลือดหาเชื้อ ทั้งนี้คุณสามารถแจ้งให้แพทย์ทราบถึงวิธีการรับผลตรวจในแบบที่คุณสบายใจมากที่สุด
การรักษาโรคซิฟิลิสตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกนั้นง่ายกว่ามาก ทำได้โดยการรับประทาน หรือฉีดยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน ซึ่งสามารถใช้ในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อซิฟิลิสได้ แต่หลังจากคลอดแล้วทารกจะยังคงต้องได้รับยาปฏิชีวนะด้วย
ส่วนผู้ที่ติดเชื้อมาระยะหนึ่งแล้วนั้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่นานกว่า และหากติดเชื้อในระยะสุดท้ายก็จะไม่สามารถรักษาได้ เนื่องจากเชื้อได้ทำลายระบบการทำงานภายในร่างกายไปมากแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อในระยะสุดท้ายก็ยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อทำลายอวัยวะต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก
การป้องกันโรคซิฟิลิส
วิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือ การงดมีเพศสัมพันธ์ แต่หากคุณเลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์ คุณจำเป็นต้องป้องกันตัวเองด้วยการใช้ถุงยางอนามัย และพยายามไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติด เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยง
ทั้งนี้แม้การใช้ถุงยางอนามัยจะสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่หากพบว่ามีแผลหรือผื่นเกิดขึ้นบริเวณอื่นนอกเหนือจากบริเวณที่สวมถุงยางอนามัยก็จะต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน จนกว่าคุณหรือคู่ของคุณจะได้รับการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้แพร่เชื้อซิฟิลิสให้คนอื่น?
หากพบว่า คุณมีเชื้อซิฟิลิส โปรดอย่าตกใจเพราะซิฟิลิสสามารถได้รับการรักษาให้หายขาดได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ควรทราบเพื่อทำให้แน่ใจว่า คุณไม่ได้แพร่เชื้อให้คนอื่น ดังนี้
- บอกคู่นอนในอดีตและปัจจุบันของว่า คุณมีเชื้อซิฟิลิส เพื่อพวกเขาจะได้เข้ารับการตรวจและรักษาด้วย
- ไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครจนกว่าจะได้รับการรักษาซิฟิลิสให้หายขาดและแผลซิฟิลิสของคุณหายสนิทแล้ว
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารเสพติด เพราะจะเพิ่มการมีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยงได้
- คู่นอนของคุณควรได้รับการรักษาก่อนที่กลับไปมีเพศสัมพันธ์กับใครอีกเช่นกัน
- เมื่อรักษาซิฟิลิสหายขาดแล้ว แล้วเริ่มกลับมามีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง ให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะการใช้ถุงยางอนามัยแบบถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซิฟิลิส เริม และแผลริมอ่อนได้
- ซิฟิลิสไม่สามารถป้องกันได้โดยการล้างอวัยวะเพศ ปัสสาวะ หรือสวนล้างช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์
การบอกว่า คุณมีเชื้อซิฟิลิสนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี แต่คุณต้องทำความเข้าใจว่า ซิฟิลิสเป็นโรคที่พบได้บ่อยและสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยง่าย ดังนั้นอย่าอาย หรือเครียดเกินไปกับเรื่องนี้
หากไม่มั่นใจว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่ หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคแล้วคิดว่า ตนเองมีอาการคล้ายๆ โรคซิฟิลิส แนะนำให้เข้ารับการตรวจและรับการรักษาจากแพทย์โดยตรง
ไม่แนะนำให้ซื้อยารับประทานเอง เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและรับการรักษาที่เหมาะสมด้วย คุณก็จะได้โล่งอก และดำเนินชีวิตต่อไปได้