การผ่าคลอดคืออะไร

การผ่าคลอดเป็นวิธีคลอดแบบหนึ่งที่คุณแม่บางส่วนให้ความสนใจ เพราะส่วนหนึ่งสามารถกำหนดวันและเวลาการคลอดได้ตามต้องการ ระยะเวลาเจ็บท้องน้อยกว่า ลูกอาจมีความปลอดภัยมากกว่า นั่นจึงทำให้สถิติผ่าคลอดในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

มีคำถามเกี่ยวกับ การผ่าคลอด? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

อย่างไรก็ตาม การที่คุณแม่จะตัดสินใจคลอดแบบใดนั้น คุณแม่เองควรมีความรู้ ความเข้าใจถึงขั้นตอนการคลอดแต่ละแบบก่อน ความเหมาะสมกับตัวคุณแม่ รวมทั้งข้อดี-ข้อเสียในการคลอดแต่ละวิธีจึงจะถูกต้อง

HDmall.co.th จะพาไปหาคำตอบแบบชัดๆ เพื่อให้คุณแม่นำไปประกอบการตัดสินใจก่อนถึงกำหนดคลอด

การผ่าคลอด คืออะไร?

การผ่าคลอด หรือการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง (Cesarean section) คือ การผ่าตัดเปิดช่องท้องและผนังมดลูกของคุณแม่เพื่อนำทารกออกจากถุงน้ำคร่ำ จากนั้นแพทย์จะนำรกออกจากครรภ์ให้หมด แล้วจึงเย็บปิดมดลูกและหน้าท้องของคุณแม่ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการภายในเวลา 45 นาที – 1ชั่วโมง

โดยปกติแล้ววิธีนี้จะเหมาะสมกับคุณแม่ที่แพทย์ผู้ดูแลลงความเห็นแล้วว่า การคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ จะทำให้คุณแม่ หรือลูกมีความเสี่ยงมากเกินไปจึงจะแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดคลอด

การผ่าคลอด มีกี่แบบ?

การผ่าคลอดส่วนมากจะมี 2 แบบ แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

1.การผ่าคลอดแนวขวาง หรือแนวบิกีนี่ที่มดลูกส่วนล่าง (Tranverse) การผ่าตัดแบบนี้จะมีบาดแผลแนวยาวตามรอยพับของหน้าท้องส่วนล่าง ทำให้เวลาขยับตัวจะเจ็บแผลไม่มาก ส่วนแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็กและมองเห็นไม่ชัดนัก

ในเรื่องเทคนิคการผ่าวิธีนี้ใช้เวลานานกว่าปกติเพราะผ่าตัดได้ยากกว่า ต้องใช้อุปกรณ์ช่อยคลอดศีรษะทารกเพิ่มเติม จึงไม่เหมาะกับการผ่าตัดในกรณีฉุกเฉิน การผ่าวิธีนี้มีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีพังผืดในช่องท้อง และไม่เหมาะหากต้องการผ่าตัดอวัยวะอื่นๆ ของคุณแม่ไปพร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ตาม การผ่าคลอดแนวขวางนั้นได้รับความนิยมมากกว่าการผ่าตัดในแนวตั้งที่จะกล่าวถึงต่อไป

2.การผ่าตัดในแนวตั้งที่มดลูกส่วนล่าง (Vertical Midline incision)การผ่าตัดแบบนี้จะมีบาดแผลยาวตามแนวตั้งของหน้าท้องส่วนล่าง ทำให้เวลาขยับตัวลำบาก เจ็บแผลมาก และฟื้นตัวช้ากว่าแบบแรก

ในเรื่องเทคนิค การผ่าตัดวิธีนี้ใช้เวลาไม่นานก็สามารถนำทารกออกมาจากถุงน้ำคร่ำได้ง่าย โดยแทบไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยคลอดอื่นๆ เลย จึงเหมาะสำหรับการคลอดในกรณีร่งด่วน ฉุกเฉิน และหากทารกตัวใหญ่ก็ไม่มีปัญหาติดขัดแต่อย่างใด เพราะสามารถขยายความกว้างของแผลได้ง่าย

มีคำถามเกี่ยวกับ การผ่าคลอด? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

อย่างไรก็ตาม การผ่าคลอดแนวตั้งจะมีแผลเป็นมากกว่าการผ่าตัดแนวขวาง

คุณแม่จะใช้เวลาตั้งครรภ์จนถึงกำหนดคลอดราว 37-40 สัปดาห์ โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการคลอดก็คือ ตั้งแต่ 38-39 สัปดาห์ขึ้นไปเพราะทารกจะโตเต็มที่ มีพัฒนาการต่างๆ ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว โดยเฉพาะปอดที่สามารถหายใจได้เอง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืดน้อย

แต่หากคุณแม่เจ็บท้องคลอดก่อนหน้านั้น มีอายุครรภ์ไม่น้อยกว่า 33 สัปดาห์ อีกทั้งแพทย์ผู้ดูแลตรวจพบว่า ทารกในครรภ์สุขภาพแข็งแรงดี ก็สามารถผ่าคลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ได้เช่นกัน

กรณีไหนบ้างที่ควรผ่าคลอด?

องค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์ คลอดตามธรรมชาติก่อนเพราะเชื่อว่า เป็นวิธีที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับแม่และลูกน้อย อย่างไรก็ตาม หากหญิงตั้งครรภ์มีข้อบ่งชี้ทางสุขภาพต่อไปนี้ก็เหมาะสมที่จะเข้ารับการผ่าคลอด

  • คุณแม่มีอุ้งเชิงกรานแคบเกินไป ทำให้ทารกไม่สามารถคลอดออกมาทางช่องคลอดได้
  • คุณแม่ตั้งครรภ์แฝด แต่ร่างกายไม่พร้อมคลอดธรรมชาติ
  • มีความผิดปกติของรก เช่น รกเกาะต่ำขวางทางออกของทารก (Placenta Previa) หรือรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental Abruption) ทำให้คุณแม่มีเลือดออกทางช่องคลอดในระหว่างตั้งครรภ์และมีโอกาสตกเลือดในขณะคลอดได้
  • เกิดภาวะวิกฤติ เช่น เสียงหัวใจลูกเต้นช้าผิดปกติ คุณแม่มีความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษอย่างรุนแรง มดลูกแตก
  • คุณแม่อยู่ในภาวะคลอดยาก (Obstructed labor) หรือคลอดเนิ่นนาน (Prolong of Labor) ทำให้ทั้งทารกและคุณแม่อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น คุณแม่ช่องคลอดฉีกขาด เสียเลือดมาก และเสี่ยงต่อการตกเลือด มดลูกแตก ส่วนทารกเสี่ยงมีความพิการทางสมอง ร่างกายชอกช้ำจากการคลอดยาก มีโอกาสเสียชีวิตได้ หากเป็นการคลอดติดไหล่อาจทำให้เส้นประสาทแขนของทารกได้รับความเสียหายได้
  • คุณแม่เคยผ่าตัดคลอดมาก่อน (Previous Uterine Scare) ซึ่งเสี่ยงต่อการแตกของมดลูกหากมีการคลอดเองเกิดขึ้น
  • การติดเชื้อของมารดา เช่น มารดาเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศขณะเข้าสู่ระยะคลอด ซึ่งสามารถติดต่อสู่ลูกน้อยผ่านการคลอดทางช่องคลอด
  • ทารกมีความผิดปกติ เช่น ตัวใหญ่เกินไป ศีรษะใหญ่เกินไป ทำให้ทารกไม่สามารถคลอดออกมาทางช่องคลอดได้ ทารกขาดออกซิเจนไปเลี้ยง
  • ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง ท่าก้น หรือครรภ์แฝด

แต่ทั้งนี้การผ่าตัดคลอดขึ้นอยู่กับความพร้อมของแพทย์ บุคลากร และเครื่องมือในแต่ละโรงพยาบาลด้วย

ต้องรอให้เจ็บท้องก่อนไหมจึงผ่าคลอด?

การผ่าคลอดไม่จำเป็นต้องรอให้เจ็บท้องคลอดหนักๆ หรือไม่ต้องรอให้มีอาการน้ำเดิน มูกเลือดไหลออกจากช่องคลอด รวมทั้งไม่ต้องรอปากมดลูกเปิดให้ได้ระยะกว้างเพียงพอเหมือนการคลอดธรรมชาติ แต่สามารถทำได้ทันทีในกรณีต่อไปนี้

กรณีแรก “ผ่าคลอดฉุกเฉิน” หากแพทย์พิจารณาแล้วว่า มีความจำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัยของแม่และทารก คุณแม่จึงไม่ต้องคอยนานเพื่อที่จะเห็นหน้าลูกน้อย โดยการผ่าตัดคลอดนั้นอาจใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว

กรณีที่ 2 “วางแผนผ่าคลอด” หากแพทย์ตรวจพบแต่เนิ่นๆ ว่า คุณแม่ หรือทารกในครรภ์มีข้อบ่งชี้ทางสุขภาพ ไม่สามารถคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้แน่นอน กรณีนี้แพทย์จำเป็นต้องวางแผนผ่าคลอดไว้ก่อนล่วงหน้า

ทั้งการเตรียมทีมแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับข้อบ่งชี้ทางสุขภาพของคุณแม่และทารกเพิ่มเติม เช่น แพทย์ด้านโรคหัวใจ วิสัญญีแพทย์ บุคลากร เวชภัณฑ์ต่างๆ เลือดสำรอง และห้องผ่าตัดให้พร้อม

ไม่ว่าคุณแม่จะตัดสินใจเลือกการคลอดวิธีไหน สุดท้ายแล้วแพทย์ผู้ดูแลครรภ์จะเป็นผู้ตัดสินใจ เพื่อการคลอดที่ปลอดภัยทั้งคุณแม่และเจ้าตัวน้อยที่สุด

ว่าที่คุณแม่สามารถ เปรียบเทียบราคาล่าสุดและแพ็กเกจฝากครรภ์และคลอดบุตร ที่ตรงใจ คุ้มค่ากับงบประมาณได้ที่นี่เลย หรือที่ไลน์ @hdcoth โดยมีจิ๊บใจดี เสียงใสคอยให้บริการข้อมูล สั่งซื้อแพ็กเกจ และจองคิวนัดหมายทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าถึงตีหนึ่ง! แอดเลยไม่ต้องรอ

มีคำถามเกี่ยวกับ การผ่าคลอด? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ