น้ำตาลสะสม กับโรคเบาหวาน สัมพันธ์กันอย่างไร?

ระดับน้ำตาลสะสม คือ ระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือน สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน และติดตามการควบคุมโรคเบาหวานได้

มีคำถามเกี่ยวกับ น้ำตาลสะสม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

สารบัญ [show]

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมคืออะไร

การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) หรือ ฮีโมโกลบิน เอวันซี (Hemoglobin A1C: HbA1C) คือการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด เฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือน เป็นวิธีการตรวจหลักในการดูแลรักษาโรคเบาหวาน และเครื่องมือในงานวิจัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน

หลักการตรวจค่าระดับน้ำตาลสะสม

ค่าระดับน้ำตาลสะสม เป็นค่าที่บ่งบอกถึงน้ำตาลกลูโคสที่จับอยู่กับฮีโมโกลบิน

ฮีโมโกลบิน คือโปรตีนที่อยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย  โดยเซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีการสร้างและการตายคงที่ ปกติจะมีอายุ 3 เดือน  ดังนั้น ค่าระดับน้ำตาลสะสม จึงสะท้อนให้เห็นถึงปริมาณน้ำตาลกลูโคสเฉลี่ยในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา

ระดับน้ำตาลสะสมสามารถใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน

  • ในอดีตการตรวจระดับน้ำตาลสะสมไม่แนะนำให้ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน  เพราะวิธีในการตรวจระดับน้ำตาลสะสมมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะทำให้ผลการตรวจแตกต่างกัน และไม่สามารถนำผลการตรวจของแต่ละวิธีมาเปรียบเทียบกันได้
  • ปัจจุบันจึงมีการปรับปรุงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำโดยโปรแกรม National Glycohemoglobin Standardization Program (NGSP) ทำให้มีการพัฒนามาตรฐานของการตรวจระดับน้ำตาลสะสมขึ้น
  • ในปี 2009 กลุ่มคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ แนะนำการตรวจระดับน้ำตาลสะสมเป็นหนึ่งในการตรวจเพื่อช่วยวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน เพราะการตรวจระดับน้ำตาลสะสมไม่จำเป็นต้องอดอาหาร และสามารถเจาะเลือดไปตรวจที่เวลาใดก็ได้
    ผู้เชี่ยวชาญหวังว่า การตรวจนี้จะเพิ่มความสะดวก ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงการตรวจได้มากยิ่งขึ้น และช่วยลดจำนวนคนที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานลง
  • องค์กรทางการแพทย์บางองค์กรยังคงแนะนำให้ใช้การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดแบบเดิมสำหรับการวินิจฉัย

ทำไมถึงต้องตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน

การตรวจคัดกรองมีความสำคัญมาก เพราะในช่วงระยะแรกของการเป็นโรคเบาหวานจะไม่มีอาการใดๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการตรวจใดที่สมบูรณ์แบบ การตรวจระดับน้ำตาลสะสมควบคู่กับการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด คือการตรวจที่ดีที่สุดในปัจจุบันสำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน จะช่วยให้แพทย์ และทีมบุคลากรทางการแพทย์ สามารถวางแผนในการรักษาโรคเบาหวานก่อนที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ตาบอด โรคหลอดเลือดขนาดเล็ก นอกจากนั้น ยังช่วยคัดกรองภาวะก่อนเป็นเบาหวาน เพื่อชะลอหรือป้องกันการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

ระดับน้ำตาลสะสมใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานและภาวะก่อนเป็นเบาหวานได้อย่างไร

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมสามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวานได้ โดยอาจใช้เฉพาะการตรวจนี้ หรือใช้ร่วมกับการตรวจอื่นๆ ก็ได้

หากต้องการใช้ค่าระดับน้ำตาลสะสมในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน เลือดที่ถูกเจาะแล้วจะถูกส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการทดสอบตาม NGSP เพื่อให้มั่นใจว่า ผลการตรวจนั้นมีมาตรฐาน และได้ค่าแม่นยำถูกต้อง

ตารางแสดงค่าร้อยละของระดับน้ำตาลสะสมและการแปลผล

การแปลผลค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C)

  • ต่ำกว่า 5.7% ปกติ
  • ตั้งแต่ 6.5% ขึ้นไป เป็นโรคเบาหวาน
  • ตั้งแต่ 5.7-6.4 % เป็นภาวะก่อนเป็นเบาหวาน

*ในการทดสอบเพื่อยืนยันว่าเป็นโรคเบาหวาน จำเป็นต้องมีการทดสอบซ้ำครั้งที่ 2 ยกเว้นว่าผู้ตรวจมีอาการของโรคเบาหวานที่ชัดเจน

หากพบว่าเป็นภาวะก่อนเป็นเบาหวาน จะถือว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2  ต้องได้รับการตรวจซ้ำทุก 1 ปี  ยิ่งมีค่าระดับน้ำตาลสะสมสูงเท่าไร ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากเท่านั้น โดยจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภายใน 10 ปี ปัจจุบันมีวิธีในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวานแล้ว

ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวานได้

การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดมาตรฐานเพื่อใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน ได้แก่ การตรวจค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร (FPG) และการทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (OGTT) สำหรับการตรวจค่าระดับน้ำตาลที่เวลาใดๆ อาจถูกใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานเมื่อมีอาการของโรคเบาหวานอย่างชัดเจน ในบางกรณีอาจมีการตรวจระดับน้ำตาลสะสม เพื่อยืนยันผลที่ได้จากการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด

ระดับน้ำตาลสะสมอาจให้ผลการวินิจฉัยต่างจากระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด

ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดอาจเป็นตัวชี้วัดในการวินิจฉัยโรคเบาหวานแทนระดับน้ำตาลสะสม หรือระดับน้ำตาลสะสมอาจเป็นตัวชี้วัดในการวินิจฉัยแทนระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดก็ได้ เพราะในการตรวจอาจมีความแตกต่างของผลการตรวจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแพทย์จะพิจารณาตรวจซ้ำก่อนที่จะตัดสินใจวินิจฉัยโรค

มีคำถามเกี่ยวกับ น้ำตาลสะสม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

คนที่มีผลการตรวจแตกต่างกันอาจเนื่องมาจากเพิ่งเป็นโรคในระยะเริ่มต้น จึงทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดยังไม่สูงพอที่จะแสดงผลให้ทราบในทุกวิธีการตรวจ บางครั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การคุมอาหาร การลดน้ำหนักและการเพิ่มการออกกำลังกาย สามารถช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้นกลับมาเป็นปกติ หรือชะลอการดำเนินของโรคได้

ผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดมีความแม่นยำทุกครั้งหรือไม่

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการสามารถแตกต่างกันในแต่ละวัน แต่ละวิธีการตรวจได้ ซึ่งผลการตรวจสามารถแตกต่างกันได้ ดังนี้

  • ความแตกต่างภายในคนคนเดียวกัน ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย อาการเจ็บป่วย และความเครียด
  • ความแตกต่างระหว่างวิธีการตรวจ วิธีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแต่ละวิธีมีหลักการในการตรวจที่แตกต่างกัน
    • การตรวจระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร (FPG) จะเป็นการตรวจวัดระดับกลูโคสที่ละลายอยู่ในเลือดหลังจากอดอาหารแล้ว และเป็นการแสดงค่าระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเฉพาะเวลาที่เจาะเลือดเท่านั้น
    • การตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดซ้ำ เช่น การตรวจด้วยตนเองที่บ้านด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองวันละหลายครั้ง สามารถแสดงให้เห็นความแตกต่างของระดับน้ำตาลในเลือดที่เกิดขึ้นระหว่างวันของตัวคุณเอง
    • การตรวจค่าระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) จะเป็นการตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสที่จับกับฮีโมโกลบิน ค่าจะที่ได้จะเป็นการวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา  ดังนั้นหากมีการตรวจในวันถัดไป หรือวันใกล้ๆ กัน ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมจะไม่เปลี่ยนแปลงไป
  • ความแตกต่างที่เกิดขึ้นภายในการตรวจเดียวกัน  เลือดที่ถูกเจาะครั้งเดียวกัน และนำเลือดนั้นไปตรวจซ้ำที่ห้องปฏิบัติการเดียวกัน ก็อาจมีผลการตรวจแตกต่างกันได้ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเพียงเล็กน้อย เครื่องมือที่ใช้ตรวจ หรือวิธีการจัดการเกี่ยวกับเลือดที่นำมาตรวจ
  • แพทย์ทราบดีอยู่แล้วว่า ในการตรวจเลือดจะมีความแตกต่างของผลการตรวจเกิดขึ้นได้  ดังนั้น หากแพทย์มีความสงสัยในผลการตรวจ จะสั่งตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล โรคเบาหวานมีการดำเนินไปของโรคตลอดเวลา ดังนั้น แม้ผลการตรวจเลือดจะมีความแตกต่างกัน แต่แพทย์สามารถแจ้งให้คุณทราบ เมื่อผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมของคุณสูงกว่าเกณฑ์ปกติ
  • การเปรียบเทียบผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนสถานพยาบาลที่ทำการรักษา หรือสถานพยาบาลมีการเปลี่ยนเครื่องมือ หรือเทคนิคที่ใช้ในการตรวจ กรณีนี้จะต้องมีการตรวจเลือดซ้ำเพื่อยืนยันผลเสมอ

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมมีความแม่นยำหรือไม่

ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสม สามารถแตกต่างจากความเป็นจริงอยู่ 0.5%  โดยอาจสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงก็ได้ หากผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมของคุณอยู่ที่ 7.0% นั่นหมายถึงระดับน้ำตาลสะสมในเลือดจริงๆ จะอยู่ในช่วงประมาณ 6.5-7.5%

หากใช้หลักการเดียวกันนี้กับค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร (FPG) พบว่า ค่าระดับน้ำตาลสามารถแตกต่างจากความเป็นจริงได้เช่นกัน

หากผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอยู่ที่ 126 mg/dL ค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหารจริงๆ ในร่างกายจะอยู่ในช่วงประมาณ 110-142 mg/dL โดยความแตกต่างของผลการตรวจนี้อาจมีมากขึ้นหากเลือดที่เจาะแล้วไม่ได้รับการตรวจทันที หรือไม่ได้ถูกใส่ไว้ในน้ำแข็ง ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดตัวอย่างที่เจาะออกมานั้นลดต่ำลงได้

ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมสามารถแสดงผลลวง (แสดงผลไม่ถูกต้อง) ได้หรือไม่

ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมลวง (แสดงผลไม่ถูกต้อง) อาจเกิดขึ้นได้กับคนที่มีปัญหาส่งผลต่อเลือด หรือมีฮีโมโกลบินแตกต่างจากคนทั่วไป ส่งผลให้ผลการตรวจถูกรบกวนได้ ดังนี้

  • โลหิตจาง
  • มีเลือดออกจากร่างกายในปริมาณมาก
  • มีปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายต่ำกว่าปกติมากๆ
  • เป็นไตวาย
  • เป็นโรคตับ
  • กลุ่มคนเชื้อสายแอฟริกัน เมดิเตอร์เรเนียน หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • คนในครอบครัวเป็นโรคโลหิตจางชนิดซิกเกิลเซลล์ หรือธาลัสซีเมีย

ค่าระดับน้ำตาลสะสมใช้ในกรณีใดได้อีกนอกจากการวินิจฉัยโรคเบาหวาน

แพทย์สามารถใช้ค่าระดับน้ำตาลสะสมในการติดตามระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2  แต่จะไม่ใช้ในการติดตามผู้ป่วยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงเป้าหมายได้แล้ว และมีระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ เข้ารับการตรวจระดับน้ำตาลสะสมปีละ 2 ครั้ง แต่หากยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ แพทย์อาจสั่งตรวจระดับน้ำตาลสะสมเป็น 4 ครั้งต่อปี จนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ในช่วงเป้าหมายที่กำหนด

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมจะช่วยให้แพทย์ปรับยาที่ใช้ในการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ข้อมูลการจากการศึกษาวิจัยพบว่า การเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานจะลดลงตามปริมาณระดับน้ำตาลสะสมที่ลดลง

ระดับน้ำตาลสะสมสัมพันธ์กับการประมาณค่าเฉลี่ยกลูโคสอย่างไร

ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (Estimated average glucose: eAG) จะคำนวณจากค่าระดับน้ำตาลสะสมที่ตรวจได้ บางห้องปฏิบัติการจะรายงานค่า eAG ไปพร้อมกับผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสม ค่า eAG จะเป็นการคำนวณเปลี่ยนจากค่าระดับน้ำตาลสะสมในหน่วย % เป็นหน่วยเดียวกับการตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสที่บ้าน คือหน่วย มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)

ข้อมูลแสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าระดับน้ำตาลสะสม และค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG)

  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 6% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 126 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 7% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 154 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 8% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 183 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 9% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 212 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 10% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 240 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 11% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 269 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 12% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 298 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)

เป้าหมายค่าระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะมีค่าเป้าหมายของระดับน้ำตาลสะสมแตกต่างกัน ขึ้นกับประวัติการเป็นโรคเบาหวานและสุขภาพของแต่ละบุคคล แพทย์จะเป็นผู้แจ้งค่าระดับเป้าหมายที่เหมาะสมกับคุณ

การควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด จะมีประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะในคนที่เพิ่งเป็นโรคเบาหวาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายระดับน้ำตาลสะสมจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ระดับค่าที่เหมาะสมของคนหนึ่ง อาจไม่เหมาะสมกับอีกคนได้ เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลสะสมให้ต่ำกว่า 7% อาจไม่ปลอดภัยในคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง และปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

มีคำถามเกี่ยวกับ น้ำตาลสะสม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ