กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน (Stevens-Johnson Syndrome: SJS) เป็นภาวะทางการแพทย์ที่ร้ายแรงและหายาก ซึ่งเกิดจากการตอบสนองผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้มีอาการรุนแรงที่ผิวหนัง เยื่อบุภายในปาก ดวงตา และอวัยวะสืบพันธุ์
ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการแพ้ยา เช่น ยากันชัก ยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านการอักเสบชนิด NSAIDs
อาการของ SJS อาจลุกลามจนกลายเป็นภาวะร้ายแรงที่เรียกว่า Toxic Epidermal Necrolysis (TEN) ซึ่งทำให้ผิวหนังหลุดลอกและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง
สาเหตุของ Stevens-Johnson Syndrome
- การแพ้ยา
- ยากันชัก เช่น Carbamazepine, Lamotrigine
- ยาปฏิชีวนะ เช่น Sulfonamides, Penicillin
- ยาต้านการอักเสบ เช่น Ibuprofen, Naproxen
- การติดเชื้อ
- ไวรัสเริม (Herpes simplex)
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
- ไวรัส HIV
- ปัจจัยทางพันธุกรรม
คนที่มีพันธุกรรมบางชนิด (เช่น HLA-B*1502) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิด SJS มากขึ้น โดยเฉพาะในประชากรเอเชีย
อาการที่ควรระวัง
- เริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ผื่นแดงหรือปื้นน้ำตาลที่ผิวหนัง ซึ่งอาจลุกลามและเกิดตุ่มพอง
- เยื่อบุในปาก ดวงตา หรืออวัยวะเพศอักเสบและเจ็บ
- ผิวหนังหลุดลอกคล้ายแผลไฟไหม้
หากมีอาการดังกล่าวโดยเฉพาะหลังการใช้ยา ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาการสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายถึงชีวิต
การรักษา Stevens-Johnson Syndrome
- หยุดยาที่เป็นสาเหตุ
การหยุดยาเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดที่ช่วยหยุดการลุกลามของอาการ - การดูแลแบบประคับประคอง
- การให้สารน้ำและอิเล็กโทรไลต์
- การดูแลแผลที่ผิวหนังเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- การให้ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะในกรณีติดเชื้อ
- รักษาภาวะแทรกซ้อน
ในกรณีที่อาการรุนแรงอาจต้องเข้ารับการดูแลในห้อง ICU หรือหน่วยดูแลแผลไฟไหม้
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เคยแพ้ หรือยาที่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับ SJS
- แจ้งประวัติการแพ้ยาให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนรับยาใหม่
- หากมีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับการแพ้ยา ควรตรวจพันธุกรรมก่อนการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก
กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสันอาจดูน่ากลัว แต่การรู้จักสังเกตอาการเบื้องต้นและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถลดความรุนแรงและความเสี่ยงต่อชีวิตได้ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติหลังการใช้ยา อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์
บทความที่เกี่ยวข้อง