ภาวะช็อก (Shock)

ภาวะช็อก (Shock) อาจหมายถึงภาวะช็อกทางจิตวิทยา หรือทางกายภาพก็ได้

มีคำถามเกี่ยวกับ ภาวะช็อก? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

  • ภาวะช็อกทางจิตวิทยา มักเกิดจากการเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง หรือสะเทือนขวัญ มีชื่อเรียกว่า “ภาวะเครียดเฉียบพลัน (Acute Stress Disorder)” ซึ่งภาวะช็อกประเภทนี้เป็นผลจากการตอบสนองทางอารมณ์ หรือทางร่างกายที่รุนแรงมาก
  • ภาวะช็อกทางกายภาพ เกิดจากการไหลเวียนของระบบโลหิตในร่างกายที่ไม่เพียงพอจะช่วยในการทำงานของอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ได้อย่างที่ควรจะเป็น
  • ภาวะช็อกทางร่างกาย สามารถเกิดได้จากการบาดเจ็บ หรือภาวะอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตก็ได้ ทำให้อวัยวะต่างๆ ล้มเหลว หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ภาวะช็อกมีกี่ประเภท?

ภาวะช็อกมีอยู่หลายชนิด โดยแยกเป็น 4 ประเภทหลักตามสาเหตุที่ส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิต และทุกชนิดสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ทั้งนั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. ภาวะช็อกจากการอุดกั้นนอกหัวใจ (Obstructive Shock) 

เกิดจากการที่เลือดไม่มีตำแหน่งที่จะไหลไปได้ เกิดขึ้นได้เมื่อมีอากาศหรือของเหลวสะสมในโพรงปอด เช่น

  • ภาวะปอดรั่ว (Pneumothorax)
  • ภาวะเลือดออกในเยื่อหุ้มปอด (Hemothorax)
  • ภาวะบีบรัดหัวใจ (Cardiac Tamponade)

2. ภาวะช็อกจากโรคหัวใจ (Cardiogenic Shock)

เกิดจากความเสียหายที่หัวใจ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายลดลง มักเกิดจากความเสียหายที่กล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ และหัวใจเต้นช้าเกิน

3. ภาวะช็อกจากปริมาณเลือดลดลง (Distributive Shock) 

เกิดจากหลอดเลือดเปิดออกและเริ่มอ่อนตัวลง ทำให้ความดันของเลือดลดน้อยลงจนไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้เพียงพอ ภาวะช็อกประเภทนี้มักทำให้เกิดอาการหน้าแดง ความดันโลหิตต่ำ และหมดสติ

ทั้งนี้ภาวะช็อกจากปริมาณเลือดลดลงยังสามารถแยกได้อีกหลายประเภท ดังนี้

  • ภาวะช็อกจากปฏิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลัน (Anaphylactic shock) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากปฏิกิริยาแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เกิดจากการที่ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายเป็นของผิดแปลก จนทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านทานชนิดรุนแรงขึ้นมา มักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่แพ้ การถูกพิษของแมลง และการรับประทานยาที่แพ้
  • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic shock) เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในเลือด จึงทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงขึ้นที่เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะในร่างกาย
  • ภาวะช็อกทางระบบประสาท (Neurogenic shock) เกิดจากความเสียหายที่ระบบประสาทส่วนกลางที่มักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ภาวะนี้จะทำให้หลอดเลือดหดตัวลงและทำให้ผิวหนังอุ่น หรือแดงขึ้น หัวใจเต้นช้าลง และความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

4. ภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (Hypovolemic Shock)

เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดไม่มีเลือดเพียงพอต่อการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย ภาวะนี้อาจเกิดจากการสูญเสียเลือดปริมาณมาก เช่น การประสบอุบัติเหตุ หรืออาจเกิดจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงก็ได้

สัญญาณและอาการของภาวะช็อก

หากผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะช็อก อาจสังเกตอาการต่อไปนี้ได้ตั้งแต่หนึ่งอาการขึ้นไป

  • ชีพจรเต้นเร็ว ชีพจรเต้นอ่อน หรือขาดช่วง
  • หายใจเบา หรือหายใจถี่
  • หน้ามืด
  • ผิวเย็น ผิวซีด
  • ม่านตาหด
  • เจ็บหน้าอก
  • คลื่นไส้
  • สับสน
  • ปัสสาวะน้อย
  • ปากแห้งและกระหายน้ำ
  • น้ำตาลในเลือดต่ำ
  • หมดสติ

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อก

ทุกสิ่งที่ส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย สามารถทำให้เกิดภาวะช็อกขึ้นได้ เช่น

  • ปฏิกิริยาแพ้รุนแรง
  • การสูญเสียเลือดปริมาณมาก
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว
  • การติดเชื้อในเลือด
  • ภาวะขาดน้ำ
  • การได้รับสารพิษ
  • การถูกไฟคลอก

การวินิจฉัยภาวะช็อก

ในขั้นตอนการวินิจฉัยภาวะช็อก สิ่งสำคัญอันดับแรกที่แพทย์ต้องปฏิบัติคือการรักษาชีวิตผู้ป่วย เพื่อให้มีการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงร่างกายให้เร็ว และมากที่สุดเท่าที่ทำได้

มีคำถามเกี่ยวกับ ภาวะช็อก? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

อาจทำได้ด้วยการให้ของเหลว ยา เลือด และการดูแลประคับประคองอื่นๆ ไปพร้อมๆ กับการตรวจหาสาเหตุของภาวะช็อกที่เกิดขึ้น ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1. การตรวจเลือด

แพทย์อาจใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบว่ามีการสูญเสียเลือดปริมาณมาก มีการติดเชื้อในเลือด และมีการใช้ยาเกินขนาดหรือไม่

2. การทดสอบถ่ายภาพ 

แพทย์อาจพิจารณาให้มีการถ่ายภาพร่างกายเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บหรือความเสียหายที่เนื้อเยื่อและอวัยวะภายใน เช่น ภาวะกระดูกร้าว อวัยวะฉีกขาด หรือกล้ามเนื้อฉีกขาด เป็นต้น

โดยอาจมีการถ่ายภาพด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • การอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
  • การเอกซเรย์ (X-ray)
  • การสแกนคอมพิวเตอร์ (CT Scan)
  • การสแกนคลื่นสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan)

การรักษาภาวะช็อก

หากคาดว่า คนใกล้ชิดมีภาวะช็อก ให้รีบติดต่อโรงพยาบาล หรือโทรสายด่วน 1669 เพื่อเรียกรถฉุกเฉิน และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ทันที

  • หากผู้ป่วยหมดสติ ให้ตรวจสอบการหายใจและดูว่าหัวใจยังเต้นอยู่หรือไม่ หากผู้ป่วยยังหายใจอยู่ ให้จัดร่างกายผู้ป่วยให้นอนหงาน ยกขาให้สูงขึ้น เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ และหาผ้ามาห่มให้ผู้ป่วยไว้ ซึ่งในระหว่างนี้ต้องคอยตรวจสอบการหายใจของผู้ป่วยอยู่เสมอ จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง
  • หากผู้ป่วยไม่หายใจ หรือไม่มีการเต้นของหัวใจ ให้ทำ CPR ทันที

หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ คอ หรือหลัง พยายามอย่าเคลื่อนไหวร่างกายผู้ป่วย แต่ถ้าผู้ป่วยมีบาดแผลที่มองเห็นได้ หรือคาดว่า ผู้ป่วยมีภาวะช็อกที่เกิดจากอาการภูมิแพ้ ให้สอบถามผู้ป่วยว่ามียาอิพิเนฟริน (Epinephrine Auto-injector) ติดตัวหรือไม่

ถ้ามีให้รีบฉีดให้ผู้ป่วยทันที แล้วอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

เมื่อผู้ป่วยไปถึงโรงพยาบาล แผนการรักษาภาวะช็อกของแพทย์จะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ซึ่งภาวะช็อกแต่ละประเภทจะมีวิธีรักษาแตกต่างกันออกไป เช่น

  • ใช้ยาอิพิเนฟริน กับยาอื่นๆ ในการรักษาภาวะช็อกจากภูมิแพ้รุนแรง
  • ถ่ายเลือดเพื่อชดเชยเลือดที่เสียไป ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่
  • ผ่าตัดหัวใจ หรือใช้ยาบางชนิดเพื่อรักษาภาวะช็อกจากโรคหัวใจ
  • ใช้ยาปฏิชีวนะรักษาภาวะช็อกจากเหตุเลือดเป็นพิษ

การป้องกันภาวะช็อก

ภาวะช็อกบางประเภทและบางกรณีสามารถป้องกันได้ เช่น

  • หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภูมิแพ้รุนแรง ให้พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และพกยาฉีด Epinephrine ไว้กับตัวตลอด เมื่อมีสัญญาณของอาการแพ้ให้รีบใช้ยาฉีดทันที
  • ลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียเลือดจากการบาดเจ็บ โดยสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันก่อนเล่นกีฬา หรือก่อนใช้งานเครื่องมืออันตรายต่างๆ
  • ลดโอกาสการเกิดความเสียหายที่หัวใจด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดมควันบุหรี่มือสอง

อาการช็อก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งส่วนมากมักเกิดจากปัญหาสุขภาพต่างๆ หรืออาการแพ้รุนแรงจากโรคภูมิแพ้ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการช็อก ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

มีคำถามเกี่ยวกับ ภาวะช็อก? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ