กระเจี๊ยบ เป็นพืชล้มลุกปีเดียว ปลูกง่าย ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทยมักปลูกกันตามบ้านเรือน มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-2 เมตร กิ่งมีสีม่วงแดง ใบมีหลายใบ ขอบใบเรียบ บางครั้งมีหยัก 3-5 หยัก ใบกว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 เซนติเมตร ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูแดง เกสรดอกไม้สีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้งแตก กลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มอยู่ด้านนอกของดอก
หมายเหตุ : ที่กล่าวถึงในบทความนี้คือ กระเจี๊ยบแดง เป็นพรรณไม้คนละชนิดกันกับกระเจี๊ยบมอญ ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus esculentus (L.) Moench
สารบัญ
คุณค่าทางโภชนาการของกระเจี๊ยบแดง
นกระเจี๊ยบแดง 100 กรัม เต็มไปด้วยสารอาหารหลายชนิด ซึ่งประกอบไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
- พลังงาน 49 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 11.31 กรัม
- ไขมัน 0.64 กรัม
- โปรตีน 0.96 กรัม
- วิตามินเอ 14 ไมโครกรัม 2%
- วิตามินบี 1 0.011 มิลลิกรัม 1%
- วิตามินบี 2 0.028 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินบี 3 0.31 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินซี 12 มิลลิกรัม 14%
- ธาตุแคลเซียม 215 มิลลิกรัม 22%
- ธาตุเหล็ก 1.48 มิลลิกรัม 11%
- ธาตุแมกนีเซียม 51 มิลลิกรัม 14%
- ธาตุฟอสฟอรัส 37 มิลลิกรัม 5%
- ธาตุโพแทสเซียม 208 มิลลิกรัม 4%
- ธาตุโซเดียม 6 มิลลิกรัม 0%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบ
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด กระเจี๊ยบเขียวมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร เส้นใยอาหารในกระเจี๊ยบช่วยป้องกันอาการท้องผูก กระตุ้นการทำงานของลำไส้ และส่งเสริมแบคทีเรียดีในระบบทางเดินอาหาร
- ลดคอเลสเตอรอล กระเจี๊ยบช่วยลดการดูดซึมไขมันในร่างกาย จึงมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- ป้องกันโรคหัวใจ สารต้านอนุมูลอิสระในกระเจี๊ยบช่วยลดการอักเสบและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก กระเจี๊ยบมีแคลอรีต่ำและอุดมด้วยไฟเบอร์ ทำให้อิ่มนาน ลดการกินจุบจิบ
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในกระเจี๊ยบช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อ
- บำรุงผิวพรรณ สารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดเลือนริ้วรอย และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน กระเจี๊ยบมีแร่ธาตุอย่างแคลเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
- ป้องกันการเกิดมะเร็ง กระเจี๊ยบมีสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
การรับประทานกระเจี๊ยบควรเลือกที่สดและล้างให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสารอาหารในกระเจี๊ยบ
สรรพคุณส่วนต่างๆ ของกระเจี๊ยบแดง
ส่วนต่างๆ ของกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณดังนี้
- ใบและกลีบเลี้ยง มีรสเปรี้ยว มีสรรพคุณขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ขับน้ำดี ขับนิ่วในไตและกระเพาะปัสสาวะ รักษาอาการท้องผูก
- ส่วนกลีบเลี้ยง มีสรรพคุณแก้กระหายน้ำ ขับเมือกมันในลำไส้
- ผล มีรสจืด ช่วยแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ทางการแพทย์พื้นบ้านของชาวอียิปต์มีการใช้ทั้งต้นมาต้มกินเพื่อช่วยในรักษาโรคหัวใจและความดันโลหิต เนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ
แนวทางการใช้กระเจี๊ยบในการรักษาโรค
กระเจี๊ยบมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการท้องผูก ไอ มีเสมหะ ปัสสาวะแสบขัด นิ่วในไต เป็นแผลในกระเพาะอาหาร โดยมีวิธีการดังนี้
- กรณีมีอาการท้องผูก ให้รับประทานส่วนใบต้มร่วมกับส่วนกลีบเลี้ยงในน้ำเดือด รับประทานก่อนนอนหรือก่อนอาหารเช้า
- กรณีมีอาการไอและมีเสมหะให้รับประทานส่วนใบต้มร่วมกับส่วนกลีบเลี้ยงในน้ำเดือด รับประทานหลังจากมีอาการ
- กรณีมีอาการปัสสาวะแสบขัด ให้ทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน) มีข้อบ่งใช้คือ นำกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงแห้ง 3 กรัม บดเป็นผง ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือประมาณ 300 มิลลิลิตร ดื่มวันละ 3 ครั้ง ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 3 เดือน
- กรณีใช้รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ มีข้อบ่งใช้เช่นเดียวกับกรณีมีอาการปัสสาวะแสบขัด ใช้กระเจี๊ยบได้เฉพาะในนิ่วชนิดแคลเซียมออกซาเลตและแคลเซียมฟอสเฟตเท่านั้น ส่วนนิ่วชนิดยูเรตหรือกรดยูริกห้ามใช้กระเจี๊ยบ เนื่องจากจะทำให้นิ่วสะสมมากขึ้น
- กรณีเป็นแผลในกระเพาะอาหารให้นำผลแห้งแล้วบดเป็นผงแช่ในน้ำ รับประทานก่อนอาหารทุกมื้อ
กระเจี๊ยบกับสรรพคุณลดความดันโลหิต
มีการศึกษาในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงขั้นที่ 1 คือค่าความดันตัวบนอยู่ที่ 140-159 mmHg ค่าความดันตัวล่างอยู่ที่ 90-99 mmHg ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันก่อนเข้าร่วมการทดลองอย่างน้อย 1 เดือน เมื่อให้ดื่มน้ำดอกกระเจี๊ยบแดงวันละ 1 ครั้ง ช่วงก่อนรับประทานอาหารเช้าทุกวัน เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีค่าความดันโลหิตลดลง และมีผลเทียบเท่ากับผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน สำหรับข้อมูลด้านความปลอดภัย กระเจี๊ยบแดงเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ถ้ามีการใช้ร่วมกับยาลดความดันแผนปัจจุบันอาจทำให้ความดันลดลงมากเกินไป จึงควรระมัดระวังไม่ใช้ในเวลาเดียวกัน หรือควรเฝ้าติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
แนวทางการใช้กระเจี๊ยบทำเครื่องดื่มและอาหาร
กลีบรองดอกและกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำเดือด ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลเพียงเล็กน้อย ทำเป็นน้ำดื่ม ปัจจุบันมีการนำกลีบดอกกระเจี๊ยบมาพัฒนาสูตรทำเป็นแยมผลไม้ รับประทานคู่กับขนมปัง ส่วนผลอ่อนนำมาลวกให้สุก สามารถนำมารับประทานคู่กับน้ำพริก หรือใส่ในแกงส้ม
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการกินและใช้กระเจี๊ยบ
- การรับประทานกระเจี๊ยบแดงอาจทำให้เกิดอาการปวดมวนท้องและท้องเสียได้ เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
- ควรหลีกเลี่ยงการกินพืชชนิดนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร เนื่องจากผลการศึกษาในหนู พบว่าอาจทำให้ลูกหนูเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ช้าลง
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง เนื่องจาก การรับประทานสมุนไพรใดๆจนเกินขนาด มักเป็นอันตรายต่อไต สำหรับผู้ที่ไตบกพร่องอยู่แล้ว จะยิ่งเป็นอันตรายได้มากขึ้น
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีนิ่วในไต ที่เป็นนิ่วชนิดยูเรตหรือกรดยูริก เพราะจะทำให้นิ่วสะสมมากขึ้น
คำแนะนำเรื่องการดื่มน้ำกระเจี๊ยบ
กระเจี๊ยบเป็นสมุนไพรยอดนิยมที่คนรับประทานเป็นน้ำสมุนไพรคลายร้อน ดับกระหาย และยังมีสรรพคุณมากมายดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่การรับประทานเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดคือ การรับประทานในขณะที่ท้องว่าง อาจรับประทานในรูปแบบน้ำดื่มในช่วง 15 – 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร หรือหลังมื้ออาหาร 2 ชั่วโมงก็ได้เช่นกัน ส่วนจะรับประทานเป็นน้ำอุ่นๆหรือแบบเย็น ก็แล้วแต่ชอบได้เลย
คำถามเกี่ยวกับกระเจี๊ยบ
กระเจี๊ยบช่วยลดน้ำหนัก ได้จริงหรือไม่ ?
กระเจี๊ยบแดงแคลอรีต่ำและมีฤทธิ์ช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ากระเจี๊ยบเกี่ยวข้องกับการลดความอ้วนและน้ำหนักส่วนเกิน แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นงานวิจัยในระดับสัตว์ทดลองเท่านั้น โดยพบว่าเมื่อป้อนสารสกัดน้ำของกระเจี๊ยบให้หนูดื่มติดต่อกันนาน 3 เดือน พบว่าน้ำหนักตัวของหนูและระดับคอเลสเตอรอลมีค่าลดลง แต่ยังไม่มีรายงานฤทธิ์ดังกล่าวในระดับคลินิก นอกจากนี้ยังไม่มีรายงานการวิจัยว่าสมุนไพรตัวใดช่วยดักจับไขมันส่วนเกินจากการรับประทานอาหาร
ดังนั้น พืชชนิดนี้จึงอาจเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในการลดความอ้วน แต่การลดความอ้วนที่ดีนั้นควรควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้อง จึงจะได้ผลดียิ่งขึ้น
ประโยชน์และโทษ ของกระเจี๊ยบแดงมีอะไรบ้าง ?
ประโยชน์
- ช่วยลดความดันโลหิต
- ลดคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด
- ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ช่วยขับปัสสาวะและลดบวม
- ช่วยระบบย่อยอาหาร
- ช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันสะสม
โทษ
- หากดื่มมากไป อาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจนต่ำเกินไป
- หากดื่มมากเกินไปจะขับแคลเซียมและโพแทสเซียม ส่งผลเสียต่อผู้ป่วยโรคไต
กระเจี๊ยบแดง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ?
- การบริโภคที่เหมาะสม: ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น วันละ 1-2 แก้ว เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
- ผู้ป่วยโรคไต: ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกระเจี๊ยบแดงในปริมาณมาก เนื่องจากอาจเพิ่มภาระการทำงานของไต
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค เนื่องจากผลของกระเจี๊ยบแดงต่อทารกยังไม่มีการยืนยัน
- ผู้ที่รับประทานยาลดน้ำตาลหรือยาลดความดันโลหิต: กระเจี๊ยบแดงอาจเสริมฤทธิ์ยา ทำให้ระดับน้ำตาลหรือความดันลดต่ำเกินไป
ควรดื่มน้ำกระเจี๊ยบ ตอนไหน ?
- หลังอาหาร การดื่มหลังมื้ออาหารช่วยลดความเสี่ยงของการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ช่วงกลางวันหรือบ่าย ช่วงเวลานี้ร่างกายต้องการพลังงานและการขับของเสีย น้ำกระเจี๊ยบจะช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะและเสริมระบบย่อยอาหาร
- หลีกเลี่ยงดื่มก่อนนอน เพราะฤทธิ์ขับปัสสาวะอาจรบกวนการพักผ่อนของคุณ