มะเร็งตับ ตรวจคัดกรอง พบไว รักษาหายได้

“ตับ” เป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายอยู่บริเวณชายโครงขวาใต้กระบังลม ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของพลังงานและสารอาหาร ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น กำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย ผลิตน้ำดีใช้ในการย่อยอาหาร เป็นต้น

แต่ถ้าเราไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตับ ปล่อยทิ้งไว้จนตับเกิดการอักเสบหรือเซลล์บริเวณตับแบ่งตัวผิดปกติ จนพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง อาจทำให้มีโอกาสเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่เดือน ดังนั้น การดูแลสุขภาพร่างกายและการตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำทุกปีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก วันนี้ HDmall.co.th ได้รวบรวมข้อมูลสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งตับมาฝากกัน

มะเร็งตับคืออะไร?

มะเร็งตับ (Liver Cancer) คือ โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในเนื้อตับ ซึ่งเกิดจากเซลล์ของตับที่มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์มากกว่าปกติจนเกิดเป็นก้อนในตับ หรือในบางกรณีอาจเกิดจากการแพร่กระจายมจากอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด กระดูก ลำไส้ เป็นต้น

ชนิดของมะเร็งตับแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้

  1. มะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ ชนิดเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma: HCC) สาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดเซลล์ตับ คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ซึ่งสามารถติดต่อได้ทางเลือด จากแม่สู่ลูกในครรภ์ และทางเพศสัมพันธ์ โดยเมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับก็สามารถกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือกลายเป็นพาหะติดต่อผู้อื่นได้โดยตัวเองไม่มีอาการ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้กลายเป็นมะเร็งตับได้ เช่น ผู้ป่วยตับแข็งที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก หรือจากไขมันพอกตับเป็นเวลานานๆ รวมถึงสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง พริกแห้ง กระเทียม ธัญพืชต่างๆ
  2. มะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ ชนิดเซลล์ท่อน้ำดีในตับ (Cholangiocarcinoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุท่อน้ำดีที่อยู่ในตับ สาเหตุมาจากโรคพยาธิใบไม้ในตับ พบได้บ่อยทางภาคอีสาน รวมถึงการรับประทานอาหารบางชนิดที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น สารดินประสิว (Nitrosamine) ที่มีอยู่ในอาหารประเภทหมัก อาหารจำพวกรมควัน เป็นต้น
  3. มะเร็งตับชนิดทุติยภูมิ (Secondary Live Cancer) เกิดจากการแพร่กระจายของโรคมะเร็งชนิดอื่นมายังตับ โดยเซลล์มะเร็งแบ่งตัวออกมาจากมะเร็งต้นกำเนิด ผ่านมาทางกระแสเลือดไปยังตับซึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวกรองเลือด ทำให้เซลล์มะเร็งตกค้างติดอยู่ในตับ ก่อให้เกิดเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายมายังตับ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด โรคมะเร็งเต้านม เป็นต้น

มะเร็งตับมีกี่ระยะ?

ระยะของมะเร็งตับ แบ่งออกเป็น 5 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่ 1 ก้อนเนื้อมะเร็งมีขนาดเล็กก้อนเดียว ขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร หากตรวจพบในระยะนี้ สามารถรักษาให้หายได้
  • ระยะที่ 2 ก้อนเนื้อมะเร็งเพียงก้อนเดียว หรือมีก้อนเนื้อไม่เกิน 3 ก้อน ขนาดเล็กกว่า 3 เซนติเมตร อาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดท้อง ท้องอืด สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดหรือการใช้คลื่นความถี่ ตามการวินิจฉัยของแพทย์และสภาพร่างกายของผู้ป่วย
  • ระยะที่ 3 ก้อนเนื้อมะเร็งหลายก้อน ขนาดโตกว่ามะเร็งระยะที่ 2 การรักษาจะทำได้ยากขึ้น ซึ่งต้องดูการทำงานของตับ ถ้าตับเสื่อมประสิทธิภาพก็จะเสี่ยงต่อภาวะไตวายจากการผ่าตัด
  • ระยะที่ 4 ก้อนเนื้อมะเร็งโตมาก ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียงตับ เข้าหลอดเลือดดำในท้อง หรือไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ตับ แพร่กระจายตามกระแสเลือด สู่ตับกลีบอื่นๆ รวมถึงลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกการรักษาด้วยวิธีต่างๆ จากตำแหน่งของก้อนมะเร็ง ขนาดของก้อนมะเร็ง ระยะของโรค การทำงานของตับ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
  • ระยะที่ 5 เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีสุขภาพทรุดโทรมมาก นอนติดเตียงเป็นส่วนใหญ่ ตับจะทำงานแย่ลงมาก และไม่สามารถผ่าตัดได้ การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น เคมีบำบัด ฉายรังสี ล้วนไม่สามารถรักษาให้หายได้ เป็นเพียงการประคับประคองเพื่อลดความเจ็บปวด

มะเร็งตับอาการเป็นอย่างไร?

มะเร็งตับในระยะแรก มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นอาจมีอาการ ดังนี้

  • ท้องอืด จุกเสียดท้อง เจ็บบริเวณท้องด้านขวาบนและลิ้นปี่ คล้ายกับโรคกระเพาะอาหาร
  • ปวดหลัง ปวดร้าวไปยังไหล่ขวาหรือใต้สะบักด้านขวา
  • ปวดหรือเสียวชายโครงด้านขวา
  • คลำเจอก้อนขนาดใหญ่ใต้ชายโครงด้านขวา
  • ท้องบวมโต หรือท้องมานจากการมีน้ำในช่องท้อง
  • น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากอาหาร
  • รู้สึกอ่อนเพลีย
  • มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ตัวเหลืองและตาเหลือง
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • มีอาการทางสมองจากภาวะตับวาย
  • มีน้ำในเยื่อหุ้มปอด
  • ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม

มะเร็งตับเกิดจากอะไร?

มะเร็งตับเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ ดังนี้

  • การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากซึ่งนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และโรคมะเร็งตับตามมา
  • โรคตับแข็ง (Cirrhosis) ผู้ที่มีภาวะตับแข็งมีโอกาสจะเป็นมะเร็งตับมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นตับแข็ง
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี จะทำให้ผู้ป่วยมีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมีผลทำให้การทำงานของตับผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับ โดยผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีและซี มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ไม่เป็นพาหะ
  • การได้รับสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) หรือเชื้อราที่อยู่ในถั่วลิสงที่อับชื้น พริกแห้ง กระเทียม หัวหอม เป็นต้น
  • ภาวะที่มีธาตุเหล็กสะสมในตับ (Hereditary Hemochromatosis)
  • ภาวะอ้วน หรือตับอักเสบจากไขมันพอกตับ
  • การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งเป็นพยาธิที่มีการปนเปื้อนอยู่ในอาหารประเภทของหมักดอง ปลาร้า ปลาดิบ เนื้อดิบ อาหารสุกๆ ดิบๆ โดยพยาธิที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารจะอาศัยและชอนไชไปตามท่อน้ำดีที่อยู่ในเนื้อตับ เนื่องจากในท่อน้ำดีจะมีสารอาหารซึ่งเป็นที่ต้องการของพยาธิใบไม้ บางครั้งพบว่าพยาธิใบไม้มักจะไปอุดตันในท่อน้ำดี ก่อให้เกิดอาการตัวเหลืองหรือตาเหลือง
  • การได้รับสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษพบได้ในอาหารจำพวก ปลาร้า ปลาส้ม หรือแหนม เป็นต้น หรืออาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น และอาหารรมควัน เช่น ไส้กรอกรมควัน ปลารมควัน

การตรวจมะเร็งตับ

มะเร็งตับในระยะเริ่มต้นจะไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการพียงเล็กน้อย ดังนั้นการตรวจคัดกรองผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจึงมีสำคัญอย่างมาก โดยแพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพและตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของตับ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไวรัสตับอักเสบ และสารบ่งชี้มะเร็งตับ แอลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha-fetoprotein: AFP) สารวัดค่ามะเร็งตับที่นิยมใช้ตรวจค้นหาขั้นต้นของโรคมะเร็งตับ หากมีค่า AFP สูงอาจบ่งบอกได้เบื้องต้นว่ามีเซลล์มะเร็งตับ
  • การตรวจชิ้นเนื้อตรงตำแหน่งก้อนเนื้อ (Biopsy) การตัดชิ้นเนื้อตรวจ โดยแพทย์ใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปที่ตับแล้วทำการตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ วิธีนี้วินิจฉัยมะเร็งตับได้ค่อนข้างแม่นยำ
  • การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นวิธีที่สะดวก และสามารถมองเห็นก้อนหรือความผิดปกติที่ตับได้
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) โดยการฉีดสารทึบแสงเข้าเส้นเลือดแดงเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน วิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตและไม่ควรตรวจบ่อยจนเกินไป เนื่องจากไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการขับสารทึบแสงออกจากร่างกาย
  • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRIเป็นการตรวจที่ทำให้เห็นความผิดปกติของตับอย่างชัดเจน ทำให้ทราบผลการตรวจวินิจฉัยมะเร็งตับที่แน่นอน ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย แต่ไม่สามารถตรวจในผู้ป่วยที่มีการฝังโลหะภายในร่างกาย

มะเร็งตับรักษาได้ไหม?

การรักษาโรคมะเร็งตับ จำเป็นต้องมีการวางแผนการรักษาโดยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญในการรักษามะเร็งตับ เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีวิธีการรักษาหลายวิธี ดังนี้

1. การผ่าตัดตับเอาก้อนมะเร็งออก (Hepatic Resection)

การผ่าตัดเป็นทางเลือกอันดับแรก เพราะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดจากมะเร็งได้ โดยพิจารณาในกรณีผู้ป่วยที่การทำงานของตับที่ยังดีอยู่ ขนาดของมะเร็งตับไม่เกิน 5 เซนติเมตร และไม่มีการกระจายของมะเร็งไปยังเส้นเลือดใกล้เคียงหรืออวัยวะอื่นๆ แพทย์จะเลือกวิธีการผ่าตัดตามความเหมาะสมจากขนาด ตำแหน่งของมะเร็งตับ ความรุนแรงของความผิดปกติของตับ สภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยการผ่าตัดสามารถทำได้ 2 แบบ ได้แก่

  • ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดมาตรฐาน โดยการกรีดผิวหนังที่หน้าท้องเป็นทางยาว ในขนาดที่แพทย์สามารถทำการผ่าตัดก้อนมะเร็งได้ หลังการผ่าตัดคนไข้ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน เสียเลือดขณะผ่าตัดมาก และอาจมีผลแทรกซ้อนในการผ่าตัด เจ็บแผลผ่าตัดค่อนข้างมาก ฟื้นตัวช้า
  • ผ่าตัดส่องกล้องทางหน้าท้อง แพทย์จะผ่าตัดก้อนมะเร็งออกโดยการเจาะรูบริเวณหน้าท้องประมาณ 5 รู สำหรับใส่กล้องและเครื่องมือในการผ่าตัดเข้าไปทำการตัดก้อนมะเร็งออก โดยจะฟื้นตัวได้เร็ว เสียเลือดน้อย เจ็บปวดน้อยกว่า และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง

2. การผ่าตัดเปลี่ยนตับ (Liver Transplantation)

เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งตับที่มีอาการตับแข็งร่วมด้วย เพราะสามารถรักษามะเร็งตับและตับแข็งได้ในเวลาเดียวกัน เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับขนาดใหญ่ ไม่สามารถผ่าตัดก้อนมะเร็งออกได้หมด อาจเป็นเพราะจากตำแหน่งของมะเร็ง หรือเนื้อตับที่ดีเหลืออยู่น้อย การผ่าตัดเปลี่ยนตับแม้ว่าจะได้ผลดี แต่ยังมีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ไม่มากนัก เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง และมีข้อจำกัดเกี่ยวกับผู้บริจาคตับ

3. การรักษามะเร็งตับโดยใช้คลื่นความถี่สูง หรือคลื่นไมโครเวฟ (Radiofrequency Ablation: RFA)

คลื่น RFA จะถูกส่งผ่านเข็มเล็กๆ ที่แทงผ่านเข้าไปในก้อนมะเร็งในตับ ซึ่งคลื่นความถี่สูงนี้จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนทำลายเซลล์มะเร็งตับ วิธีนี้จะได้ผลดีในก้อนมะเร็งตับที่มีขนาดไม่ใหญ่เกินไป หรือควรมีขนาดเล็กกว่า 3 เซนติเมตร และอยู่ห่างจากหลอดเลือดขนาดใหญ่

4. การให้เคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดแดง (Transarterial Chemoembolization: TACE)

การรักษาด้วยวิธี TACE คือ การฉีดยาเคมีบำบัด ผ่านทางหลอดเลือดแดงเข้าไปยังก้อนมะเร็งตับ ซึ่งจะสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้โดยตรง โดยฉีดสารอุดหลอดเลือด (Gel Foam) เข้าไปด้วยเพื่อทำให้ก้อนมะเร็งขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง หรืออาจใช้การฉีดยาเคมีบำบัดผสมสารที่เป็นน้ำมันลิปิโอดอล (Transarterial Oil Chemoembolization: TOCE) ซึ่งคุณสมบัติของสารลิปิโอดอล (Lipiodol) จะทำหน้าที่เข้าไปจับกับตัวยาเคมีบำบัด ทำให้ตัวยาเข้าสู่ก้อนมะเร็งได้ดีขึ้น ช่วยลดผลข้างเคียงจากยาให้น้อยลง และสามารถอุดหลอดเลือดได้ดีกว่าใช้ Gel Foam เพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยที่เหมาะกับการรักษาด้วยวิธีนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีผ่าตัดหรือใช้คลื่นความถี่ได้ เนื่องจากก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ประมาณ 7-10 เซนติเมตร หรือก้อนอยู่ชิดกับอวัยวะที่สำคัญจนไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่การทำงานของตับยังทำงานได้ดี เนื่องจากการอุดหลอดเลือดบางส่วน ส่งผลทำให้ตับทำงานแย่ลงชั่วคราวได้ ผลการรักษาด้วยวิธีนี้สามารถทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้น

5. การรักษามะเร็งตับด้วยการฉีดสารกัมมันตภาพรังสี (Selective Internal Radiation Therapy: SIRT)

SIRT คือ การนำอนุภาคกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกายเฉพาะจุด ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างใหม่ เหมาะกับมะเร็งตับที่มีการลุกลามเข้าไปในหลอดเลือดดำของตับ แต่การทำงานของตับยังพอใช้ได้อยู่ หลักการรักษาคล้ายกับการทำ TOCE คือ มีการสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงของตับที่เลี้ยงก้อนมะเร็งแล้วทำการฉีดสารกัมมันตภาพรังสีที่เรียกว่า อิตเทรียม (Yttrium) เข้าไป สารดังกล่าวจะเปล่งรังสีชนิดเบต้าตรงไปที่ก้อนมะเร็ง ซึ่งออกฤทธิ์ทำลายก้อนมะเร็ง ลดขนาดก้อนมะเร็งหรือลดระยะการลุกลามลงชั่วคราว ภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นจะสลายตัวไปเอง ไม่มีการตกค้างอยู่ในร่างกาย การรักษาด้วยวิธีนี้อาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องนำเข้าสารกัมมันตภาพรังสีและอุปกรณ์จากต่างประเทศ เพื่อนำเข้ามาฉีดให้ผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป ขั้นตอนการทำมีความยุ่งยากมากกว่าการรักษา TOCE ต้องมีการตรวจโดยการฉีดสีดูหลอดเลือดที่ตับและทดสอบว่าสามารถทำการรักษาได้โดยไม่มีผลข้างเคียง เมื่อแน่ใจแล้วจึงทำการรักษา ผลข้างเคียงส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนใน 1–2 วันแรกหลังการรักษา ส่วนผลการรักษาใกล้เคียงกับการรักษาด้วย TOCE

6. การให้ยาเคมีบำบัด (Systemic Chemotherapy)

การให้ยาเคมีบำบัดเหมาะกับการรักษามะเร็งตับที่ก้อนใหญ่ มีหลายก้อนจนไม่สามารถจะผ่าตัดตับได้ ก้อนมะเร็งมีการกระจายออกมาภายนอกตับ หรือผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น โดยยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็งตับในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้

  • ยาเคมีบำบัดชนิดมุ่งเป้า (Targeted chemotherapy) ออกฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วยวิธียับยั้งการสร้างหลอดเลือดที่มาเลี้ยงมะเร็ง ซึ่งมี 2 รูปแบบ ได้แก่ ยาแบบรับประทาน เช่น Sorafenib, Lenvatinib, Regorafenib และ Cabozantinib เป็นต้น ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของยากลุ่มนี้ ได้แก่ มือเท้าแห้งแตก ปวดฝ่ามือฝ่าเท้า ท้องเสีย เบื่ออาหาร และ ยาแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ได้แก่ Bevacizumab และ Ramucirumab ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของยากลุ่มนี้ได้แก่ ความดันโลหิตสูง และมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะในกรณีที่ใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ออกฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง โดยยาที่ได้รับรองให้รักษาโรคมะเร็งตับในปัจจุบัน ได้แก่ Atezolizumab ใช้ร่วมกับยา Bevacizumab และ Nivolumab ส่วนใหญ่ยากลุ่มนี้ไม่ค่อยมีผลข้างเคียง แต่ยาภูมิคุ้มกันบำบัดอาจกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมากขึ้น เกิดการอักเสบในอวัยวะต่างๆ ได้ เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบ และอาจการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ปอดอักเสบ ลำไส้อักเสบ ซึ่งพบได้ไม่บ่อย
  • ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาด้วยยาหากผู้ป่วยไม่สามารถรับการรักษาด้วยยาหลักข้างต้นได้ ผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งตับ ได้แก่ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เม็ดเลือดขาวต่ำ และอาจมีอาการชาบริเวณปลายมือปลายเท้าหากได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน

มะเร็งตับอยู่ได้นานแค่ไหน?

ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนมากไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยที่แสดงอาการมักเป็นในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว ทำให้ไม่สามารถผ่าตัดรักษาได้ ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้นาน ประมาณ 3-6 เดือน หากป่วยมะเร็งตับร่วมกับตับแข็งจะอยู่ได้นาน ประมาณ 1-3 เดือน ดังนั้นการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีความเสี่ยงมะเร็งจึงมีความสำคัญมาก เพราะหากเจอตั้งแต่ระยะเริ่มต้นผู้ป่วยมีโอกาสรักษาให้หายได้

มะเร็งตับป้องกันได้ไหม?

การป้องกันตัวเองไม่ให้เป็นมะเร็งตับหรือลดความเสี่ยงในการมะเร็งตับ มีหลายวิธีดังนี้

  • ไม่ควรรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ปลาดิบ ก้อยปลา เพราะอาจจะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ
  • ควรรับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสดใหม่ๆ ไม่ทานอาหารที่เก็บค้างคืน เพราะอาจมีเชื้อราปะปนอยู่
  • ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อทางกระแสเลือดหรือเพศสัมพันธ์จากผู้เป็นพาหะเชื้อไวรัสตับอักเสบ เช่น งดการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัก การใช้ใบมีดโกน หรือ กรรไกรตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
  • ตรวจเช็คสุขภาพประจำปี ตรวจการทำงานของตับและตรวจคัดกรองหามะเร็งตับ
  • ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เป็นโรคตับแข็งและกลายเป็นมะเร็งตับได้
  • ผู้ที่เป็นพาหะหรือสงสัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและตรวจหามะเร็งตับระยะแรกทุกๆ 6 เดือน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) เช่น ถั่วลิสงบด หัวหอม พริกแห้ง และกระเทียมที่มีราขึ้น เพราะสารนี้จะเป็นตัวเร่งการเป็นมะเร็งเซลล์ตับในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และสารพิษนี้มีความทนทานต่อความร้อนสูงไม่สามารถทำลายได้แม้จะนำไปประกอบอาหารผ่านความร้อน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) เช่น อาหารจำพวกโปรตีนหมัก เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม และแหนม เป็นต้น และอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ผสมดินประสิว เช่น ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น
  • ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
  • ผู้ที่เป็นพาหะโรคตับอักเสบบี ผู้เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังบีและซี ผู้เป็นโรคตับแข็ง ควรได้รับการติดตามโดยทำอัลตราซาวน์และเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP ทุก 6 เดือน

มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ หากมีการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวัง และพบตั้งแต่ในระยะแรก ผู้ป่วยมีโอกาสในการรักษาหายและสามารถกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติได้ดังเดิม

Scroll to Top