นอกจากการเลเซอร์ผิวหรือการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแล้ว อีกวิธีเปลี่ยนแปลงสุขภาพผิวที่กำลังได้รับความนิยมกันอยู่ในตอนนี้ก็คือ การฉีดวิตามินผิว ซึ่งแต่ละสถานพยาบาลก็จะมีการคิดค้นสูตรวิตามินที่หลากหลายออกมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
สารบัญ
- ฉีดวิตามินผิว IV Drip คืออะไร?
- ฉีดวิตามินผิวช่วยอะไร?
- ข้อดีของการฉีดวิตามินผิว IV Drip
- ฉีดวิตามินผิว IV Drip เหมาะกับใคร?
- ฉีดวิตามินผิว IV Drip ไม่เหมาะกับใคร?
- ข้อเสียของการฉีดวิตามินผิว IV Drip
- อันตรายที่ควรรู้จากการฉีดวิตามินผิว IV Drip
- วิธีฉีดวิตามินผิว IV Drip มีกี่แบบ?
- การเตรียมตัวก่อนฉีดวิตามินผิว IV Drip
- ขั้นตอนการฉีดวิตามินผิว IV Drip
- การดูแลตนเองหลังฉีดวิตามินผิว IV Drip
- ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้จากการฉีดวิตามินผิว IV Drip
ฉีดวิตามินผิว IV Drip คืออะไร?
ฉีดวิตามินผิว (Intravenous Vitamin therapy หรือ IV Drip) หรือที่มักเรียกสั้นๆ ว่า “ดริปวิตามิน” คือ วิธีการเสริมสุขภาพผิวผ่านการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ซึ่งมีส่วนผสมของยาหรือวิตามินบำรุงผิวประกอบอยู่
ปัจจุบันการฉีดวิตามินผิวนิยมเป็นอีกทางเลือกแบบเร่งรัดในการกระตุ้นความกระจ่างใสให้กับเนื้อผิว พร้อมยังช่วยเสริมสุขภาพด้านอื่นๆ ได้อีก ผ่านการฉีดวิตามินผิวที่มีจุดเด่นหลายอย่างร่วมกันในสูตรเดียว
ฉีดวิตามินผิวช่วยอะไร?
แม้การฉีดวิตามินผิวจะขึ้นชื่อด้านการเปลี่ยนแปลงเนื้อผิวให้ดูดีขึ้น แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับสูตรวิตามินของแต่ละสถานพยาบาล เช่น
- ขับความกระจ่างใสและบรรเทาปัญหาหมองคล้ำของผิว
- กระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกาย เพื่อให้การควบคุมหรือลดน้ำหนักเห็นผลชัดขึ้น
- เพิ่มระดับวิตามินส่วนที่ร่างกายขาด เช่น วิตามินบี วิตามินซี
- เสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันโอกาสเจ็บป่วยหรือติดเชื้อ
- เพิ่มระดับการต้านสารอนุมูลอิสระ และเสริมคอลลาเจนเพื่อให้ผิวสุขภาพแข็งแรง ชุ่มชื้น และยืดหยุ่น
- ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดอาการอ่อนเพลียหรือง่วงซึมระหว่างวัน
ข้อดีของการฉีดวิตามินผิว IV Drip
นอกจากสรรพคุณของการฉีดวิตามินผิวแล้ว ก็ยังมีข้อดีอื่นๆ ที่ทำให้การฉีดวิตามินผิวได้รับความนิยม เช่น
- มีให้เลือกหลายสูตร เพื่อตอบสนองความต้องการที่มีอยู่หลายด้านของผู้เข้ารับบริการ
- ใช้เวลารับบริการไม่นาน ส่วนมากเพียงครั้งละ 45-60 นาทีเท่านั้น
- ไม่ต้องมีการพักผ่อนฟื้นตัวใดๆ หลังทำ แต่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
ฉีดวิตามินผิว IV Drip เหมาะกับใคร?
ฉีดวิตามินผิวถือเป็นวิธีเสริมสุขภาพผิวที่เหมาะกับกลุ่มผู้ที่มีความต้องการดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ต้องการความรวดเร็วในการเสริมระดับความกระจ่างใสของผิว (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละคน)
- ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตนเอง และต้องการวิธีเสริมสุขภาพผิวที่ใช้เวลาไม่นาน
- ผู้ที่ต้องการทางเลือกอื่นในการเสริมสุขภาพผิว นอกเหนือจากวิธียิงเลเซอร์ ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และอื่นๆ
- ผู้ที่อยากเปลี่ยนแปลงสุขภาพผิวตั้งแต่ภายใน ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนเนื้อผิวชั้นบนให้ดูดี
- ผู้ที่อยากเติมสารวิตามินหรือคอลลาเจนอย่างเร่งรัดมากกว่าวิธีกิน หรือควบคู่ไปกับวิธีกิน
- ผู้ที่ทำงาน ทำกิจกรรมมาอย่างหนัก หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ จนรู้สึกไม่สดชื่นระหว่างวัน และอยากเติมสารกระตุ้นความแข็งแรงกะปรี้กะเปร่าให้กับร่างกาย
- ผู้ที่อยากกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ฉีดวิตามินผิว IV Drip ไม่เหมาะกับใคร?
แม้การฉีดวิตามินผิวจะได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่วิตามินผิวที่ฉีดเข้าไปก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ หากคุณยังมีเงื่อนไขด้านสุขภาพหรือโรคประจำตัวบางอย่างที่ไม่พร้อมต่อการรับสารวิตามิน เช่น
- หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด โรคความดันโลหิตสูง
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ยังประคองอาการให้คงที่ไม่ได้หรือยังต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
- ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
- ผู้ป่วยโรคตับ
- ผู้ป่วยโรคไต
- ผู้ป่วยที่มีภาวะวิตามินหรือแร่ธาตุเกิน เช่น ภาวะธาตุเหล็กเกิน
- ผู้ป่วยภาวะพร่องเอนไซม์ หรือภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (G6PD Deficiency)
นอกเหนือจากโรคที่ได้กล่าวไปข้างต้น ยังอาจมีโรคประจำตัวหรือภาวะอื่นๆ ที่ไม่เหมาะต่อการฉีดวิตามินผิวอีก ดังนั้นก่อนฉีดวิตามินผิวทุกครั้งควรแจ้งโรคประจำตัวและอาการเจ็บป่วยต่างๆ ให้แพทย์ทราบล่วงหน้า
ข้อเสียของการฉีดวิตามินผิว IV Drip
นอกจากผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น การฉีดวิตามินผิวก็มีจุดด้อยอื่นๆ ที่ควรรู้เพื่อประกอบการพิจารณา ก่อนรับบริการได้รอบคอบมากขึ้น
- อาจไม่เห็นผลได้ในทันที แม้การฉีดวิตามินผิวอาจช่วยกระจ่างใสเร็วกว่าบางวิธี แต่ก็ยังต้องใช้ระยะเวลาในการรอผลลัพธ์อยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผิวแต่ละคน
- ต้องรับบริการหลายครั้ง หากต้องการเห็นผลลัพธ์เมื่อเทียบกับช่วงก่อนรับบริการ อาจต้องรับบริการ 3 ครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสูตรวิตามินและการให้คำแนะนำจากทางสถานพยาบาล
- ผลลัพธ์อาจไม่เป็นที่น่าพอใจเสมอไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการให้ผิวขาวขึ้น ผลลัพธ์อาจไม่ได้อยู่ในระดับที่คาดหวังไว้ผ่านการฉีดวิตามินผิว
- อาจรู้สึกเจ็บระบมผิวได้ เพราะเป็นการบำรุงผิวโดยใช้เข็มฉีดยาซึ่งต้องทิ้งเอาไว้ใต้ผิวประมาณ 45-60 นาทีเหมือนเวลาให้น้ำเกลือ และอาจทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นชินรู้สึกไม่สบายผิวบริเวณที่ถูกแทงเข็มฉีดยาได้
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร และต้องเดินทางกลับมาฉีดซ้ำอีกเรื่อยๆ โดยอาจอยู่ที่ทุกๆ 2-4 สัปดาห์ จึงจะทำให้การเปลี่ยนแปลงของผิวและสุขภาพคงอยู่ได้แบบระยะยาวขึ้น
อันตรายที่ควรรู้จากการฉีดวิตามินผิว IV Drip
หากคุณฉีดวิตามินผิวสูตรที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยา ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหลังฉีดได้ เช่น ผื่นขึ้น คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ความดันต่ำ ช็อกหมดสติ และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ดังนั้นคุณจึงต้องเลือกไปฉีดวิตามินผิวผ่านสถานพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือหรือได้รับการรับรองมาตรฐานการบริการทุกส่วนจากองค์การอาหารและยามาแล้วเท่านั้น
การฉีดวิตามินควรจะฉีดภายใต้ปริมาณที่พอดีและเหมาะสมต่อร่างกายเท่านั้น ไม่ควรฉีดมากจนเกินไป เพราะยังมีหลายคนเข้าใจว่าควรฉีดวิตามินผิวให้บ่อยและปริมาณมากที่สุดเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัด ซึ่งไม่จริงเสมอไป
นอกจากนี้การฉีดวิตามินมากเกินไป มีส่วนทำให้เกิดความผิดปกติได้หลายอย่างมาก รวมถึงสามารถก่อโรคร้ายหลายอย่างตามมาได้ในภายหลัง เช่น
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว
- คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง
- ภาวะเลือดออกผิดปกติ
- การมองเห็นพร่าเบลอ
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ปวดศีรษะ หรือปวดไมเกรน
- ภาวะแสบร้อนกลางอก
- เป็นตะคริว
- ภาวะโลหิตจางที่เกิดจากการแตกตัวออกของเม็ดเลือดแดง (Hemolysis)
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคนิ่วในไต (Kidney stones)
- โรคหลอดเลือดสมอง (stroke)
- ช็อก หรือเสียชีวิต
วิธีฉีดวิตามินผิว IV Drip มีกี่แบบ?
การฉีดวิตามินผิวแบบที่นิยมให้บริการกันในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ
- ฉีดแบบเข็มไซริงค์ เป็นการฉีดวิตามินเข้าสู่หลอดเลือดดำโดยตรงผ่านหลอดเข็มฉีดยาที่บรรจุสารวิตามินเอาไว้ สามารถฉีดได้หลายบริเวณ และนิยมฉีดที่บริเวณผิวหน้าโดยตรงด้วย หรือที่เรียกว่า “ฉีดมาเด้ (MADE)” ซึ่งเป็นการฉีดวิตามินเพื่อเน้นซ่อมแซมเซลล์ผิวหน้า ลดสิวอุดตัน และยังช่วยดีท็อกซ์สิ่งสกปรกออกจากผิวหน้าได้อย่างหมดจดและตรงจุดยิ่งขึ้น
- ฉีดแบบถุงน้ำเกลือ เป็นการฉีดวิตามินโดยที่ผู้เข้ารับบริการจะถูกเจาะเข็มซึ่งเชื่อมสายกับถุงบรรจุวิตามิน จากนั้นนั่งรอจนกว่าสารวิตามินในถุงจะไหลเข้าสู่หลอดเลือดดำจนหมด เป็นกระบวนการฉีดที่คล้ายกับการให้น้ำเกลือเวลาเจ็บป่วย
การเลือกวิธีฉีดวิตามินผิวที่เหมาะกับตัวคุณจะขึ้นอยู่กับการให้คำแนะนำจากแพทย์และวิธีให้บริการในแต่ละสถานพยาบาล ซึ่งอาจแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการฉีดวิตามินผิวทั้ง 2 แบบควบคู่กันเพื่อผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น หรืออาจเป็นการรับบริการแบบใดแบบหนึ่งที่เหมาะสมและตรงจุดต่อปัญหาผิวที่อยากให้แก้มากกว่า
การเตรียมตัวก่อนฉีดวิตามินผิว IV Drip
สิ่งที่ควรทำก่อนไปฉีดวิตามินผิวมีอยู่ 2 ส่วนสำคัญที่ไม่ควรพลาด
- แจ้งโรคประจำตัว รวมถึงประวัติสุขภาพ ยาประจำตัวที่กำลังรับประทานอยู่ วิตามินเสริม สมุนไพรเสริมสุขภาพทุกชนิดกับทางสถานพยาบาล เพื่อป้องกันผลกระทบหลังฉีดซึ่งเกิดจากเงื่อนไขด้านสุขภาพ
- ต้องรู้ความต้องการของตนเอง ว่าอยากให้การฉีดวิตามินผิวช่วยปรับปรุงสุขภาพในด้านใด จากนั้นปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับสูตรวิตามินและปริมาณวิตามินที่ฉีดซึ่งเหมาะต่อความต้องการเสียก่อน
ขั้นตอนการฉีดวิตามินผิว IV Drip
การฉีดวิตามินผิวมีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ใช้ระยะเวลาโดยรวมมักไม่เกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยมักมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ผู้เข้ารับบริการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต
- เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวส่วนที่จะฉีดวิตามิน
- เริ่มเจาะเข็มเข้าหลอดเลือดดำ และฉีดวิตามินผิวเข้าหลอดเลือด
- หากเป็นแบบฉีดด้วยเข็มไซริงค์ แพทย์จะค่อยๆ ฉีดผลักสารวิตามินเข้าสู่หลอดเลือดจนหมดอย่างช้าๆ แต่หากเป็นการฉีดแบบถุงน้ำเกลือ หลังจากเจาะเข็มเชื่อมถุงน้ำเกลือเสร็จแล้ว ผู้เข้ารับบริการสามารถนั่งหรือนอนรอจนกว่าวิตามินจะเข้าหลอดเลือดจนหมดได้ ซึ่งโดยปกติทางสถานพยาบาลจะเตรียมโซฟาสำหรับนั่งรอเอาไว้ให้
- หลังจากฉีดวิตามินจนหมด เจ้าหน้าที่จะนำเข็มออกให้ แล้วปิดผิวส่วนที่เจาะเข็มด้วยผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ จากนั้นผู้เข้ารับบริการสามารถกลับบ้านได้
การดูแลตนเองหลังฉีดวิตามินผิว IV Drip
แม้การฉีดวิตามินผิวจะทำให้วิตามินเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังต้องมีการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมร่วมด้วย เพื่อให้สารวิตามินคงอยู่ในร่างกายได้นานขึ้นรวมถึงกระตุ้นให้ผลลัพธ์หลังฉีดวิตามินเห็นได้ชัดขึ้นกว่าเดิม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัดๆ เพราะจะยิ่งทำให้เพิ่มโอกาสผิวหมองคล้ำง่ายขึ้น หรือหากจำเป็นต้องออกไปในที่โล่งแจ้ง ให้ทาครีมกันแดด SPF 50+ ขึ้นไป
- งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในระยะยาวไม่มีกำหนด มิฉะนั้นอาจยิ่งเป็นการทำร้ายผิวและทำให้ผลลัพธ์จากการฉีดวิตามินไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
- หมั่นทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวอยู่เช่นเดิม
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้สารวิตามินและแร่ธาตุต่อร่างกายอย่างครบถ้วน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายทุกวัน
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30-60 นาที เพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ และทำให้ระบบเมตาบอลิซึมซึ่งช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับสุขภาพทุกส่วนทำงานดีขึ้น
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้จากการฉีดวิตามินผิว IV Drip
โดยปกติผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปหลังจากฉีดวิตามินผิวจะมีเพียงอาการผิวช้ำหรือเป็นจุดแดงบริเวณที่ถูกเข็มฉีดยาเท่านั้น
แต่หากเกิดอาการผิดปกติคล้ายกับอาการแพ้สารวิตามิน เช่น คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เป็นผื่นแดง รู้สึกคันระคายเคืองผิวหนัง หายใจไม่สะดวก ให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยทันที
โดยสรุปคือ การฉีดวิตามินผิวเป็นการทำหัตถการที่มีความปลอดภัยหากรับบริการกับสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน แต่ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดมากเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายที่มีต่อสารวิตามินที่ฉีดเข้าไป
และการฉีดวิตามินผิวยังต้องผ่านการปรึกษากับแพทย์ล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง ถึงแม้จะเป็นการทำหัตถการที่ง่ายและเป็นที่แพร่หลาย แต่หากไม่ผ่านการตรวจสุขภาพและพูดคุยกับแพทย์ก่อน ผลข้างเคียงที่อันตรายถึงชีวิตก็อาจเกิดขึ้นได้