อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ช่วยร่างกายในการปรับระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ให้สูงเกินไป (Hyperglycemia) หรือต่ำเกินไป (Hypoglycemia) โดยค้นพบอินซูลินสำหรับการรักษาโรคเบาหวานเมื่อช่วง ค.ศ. 1920-1929
ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะมีการค้นพบอินซูลิน โรคเบาหวานนั้นยังไม่สามารถรักษาได้และมักจบลงที่ความตาย
สารบัญ
การผลิตอินซูลิน
อินซูลินผลิตขึ้นจากเซลล์พิเศษที่อยู่ในตับอ่อนซึ่งมีชื่อว่า “เบต้า” (beta cells) ในเวลารับประทานอาหารเซลล์เบต้าจะหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาลในเลือด หรือเก็บสะสมไว้
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เนื่องจากเซลล์เบต้าถูกทำลาย
ส่วนผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ หรือร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือ 2 ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีความจำเป็นที่ต้องใช้ยาฉีดอินซูลิน (สังเคราะห์ หรือจากธรรมชาติ) เพื่อช่วยร่างกายในการปรับระดับน้ำตาลในเลือด
สาเหตุที่ทำให้การผลิตอินซูลินผิดปกติ
การผลิตอินซูลินที่ไม่เพียงพอต่อร่างกายจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น แล้วปัจจัยอะไรบ้างส่งผลให้อินซูลินในร่างกายผิดปกติ
ความอ้วน
ไขมันส่วนเกินในร่างกายของผู้เป็นโรคอ้วนจะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินไปจัดการน้ำตาลและไขมันต่างๆ ในร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดภาวะก่อนเป็นเบาหวานตามมา
ความผิดปกติของตับอ่อน
ตับอ่อนเป็นอวัยวะซึ่งทำหน้าที่ผลิตอันซูลิน ถ้าตับอ่อนเสื่อมสภาพ หรือเกิดความผิดปกติ ก็จะมีผลต่อการผลิตอินซูลิน
ยีน
ยีนเป็นสารพันธุกรรมที่มีบทบาทต่อการผลิตอินซูลินในร่างกาย ถ้ายีนในร่างกายมีความผิดปกติ หรือกลายพันธุ์ ความสามารถในการผลิตอินซูลินและการลดระดับน้ำตาลในเลือดก็จะบกพร่องตามไปด้วย
เช่น โรคเบาหวานประเภทโมโนเจนิก ซึ่งเป็นโรคเบาหวานที่เกิดจากยีนในร่างกายที่ผิดปกติ หรือกลายพันธุ์มาจากพ่อแม่
ชนิดของอินซูลิน
อินซูลินแบบฉีดสำหรับรักษาโรคเบาหวานมีหลายชนิด ได้แก่
1. อินซูลินชนิดที่ออกฤทธิ์เร็ว
อินซูลินชนิดนี้จะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที หลังจากฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังและจะออกฤทธิ์มากที่สุดใน 1 ชั่วโมง และยังคงมีฤทธิ์อยู่ได้ถึง 2-4 ชั่วโมง โดยปกติแล้วจะให้ในเวลาก่อนอาหาร โดยใช้ร่วมกับอินซูลินที่ออกฤทธิ์ระยะยาว
ยาอินซูลินอเฟรซซา (Afrezza) เป็นตัวอย่างของอินซูลินชนิดที่ออกฤทธิ์เร็ว สามารถใช้โดยการสูดหายใจผ่านทางปากเข้าไป ซึ่งสะดวกสำหรับผู้ป่วยหลายคน
2. อินซูลินชนิดที่ออกฤทธิ์สั้น
อินซูลินชนิดนี้จะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 30 นาทีหลังจากเริ่มฉีด แต่จะออกฤทธิ์มากที่สุดใน 2-3 ชั่วโมง และยังคงมีฤทธิ์อยู่ถึง 3-6 ชั่วโมง โดยปกติแล้วจะให้ก่อนอาหาร ร่วมกับอินซูลินที่ออกฤทธิ์ระยะยาว
3. อินซูลินชนิดที่ออกฤทธิ์ปานกลาง
อินซูลินชนิดนี้จะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-4 ชั่วโมงหลังจากเริ่มฉีด แต่จะออกฤทธิ์มากที่สุดใน 12 ชั่วโมง และยังคงมีฤทธิ์อยู่ถึง 12-18 ชั่วโมง โดยปกติแล้วจะให้ 2 ครั้งต่อวัน ร่วมกับอินซูลินชนิดที่ออกฤทธิ์เร็ว หรือสั้นร่วมด้วย
4. อินซูลินชนิดที่ออกฤทธิ์ระยะยาว
อินซูลินชนิดนี้จะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากเริ่มฉีดไปแล้วหลายชั่วโมง จะออกฤทธิ์นานได้ถึง 24 ชั่วโมง และสามารถใช้ร่วมกับอินซูลินชนิดที่ออกฤทธิ์เร็ว หรือ สั้นได้ แพทย์จะช่วยตัดสินใจเกี่ยวกับชนิดและรูปแบบของอินซูลินว่าเป็นแบบ ปากกาฉีด เช่น ยาทูโจ (Toujeo) เข็มฉีดยา หรือตัวปั๊ม แบบไหนคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวโรคและวิถีการใช้ชีวิตของคุณ
5. อินซูลินปั๊ม
อินซูลินปั๊ม (Insulin Pump) เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่จะช่วยฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว หรือสั้น ตลอด 24 ชั่วโมงทั้งวัน โดยฉีดผ่านท่อเล็กๆ ที่จะฝังไว้ใต้ผิวหนัง อินซูลินปั๊มนิยมใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 แต่ก็สามารถใช้ได้ในผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เช่นกัน
อินซูลินที่ใช้ในเมืองไทยมีทั้งแบบเดี่ยว และแบบผสมอินซูลินที่ออกฤทธิ์ระยะเวลาต่างๆ เข้าด้วยกัน
อาหารที่ช่วยในการหลั่งอินซูลิน
เพื่อให้ฮอร์โมนอินซูลินมีการทำงานที่สม่ำเสมอและลดความเสี่ยงต่ออาการของโรคเบาหวานที่รุนแรงขึ้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อฮอร์โมนอินซูลินจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ตัวอย่างอาหารที่สามารถเลือกรับประทานได้ต่อไปนี้
1. ผักและผลไม้บางชนิด
- แอปเปิลเขียว แอปเปิลเขียวอาจไม่ได้เข้าไปช่วยเรื่องการหลั่งอินซูลินโดยตรง แต่เป็นการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอโดยไม่เร็วจนเกินไปและจะเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกายอย่างช้าๆ ทั้งยังอิ่มท้องนานกว่าขนมหวานทั่วไป แอปเปิลเขียวจึงจัดเป็นอาหารว่างสำหรับการลดน้ำหนักได้ดีและเป็นผลไม้ที่ช่วยเรื่องประสิทธิภาพการขับถ่ายด้วย
- ส้มโอ มีวิตามินซี เส้นใยสูง และมีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของหลอดเลือด สร้างสมดุลให้อินซูลิน รวมถึงระดับน้ำตาลในเลือด
- ขิง สมุนไพรไทยที่ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดลดลง และส่งผลต่อการเพิ่มปริมาณการหลั่งของอินซูลิน สามารถในรูปแบบผสมกับอาหารได้ หรือจะเป็นเครื่องดื่มได้เช่นกัน
- กระเทียม ในกระเทียมมีสารอัลซิลิน (Allicin) ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดไขมันกับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต และเพิ่มประสิทธิภาพการหลั่งของอินซูลินได้
- อบเชย เป็นอีกสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ และยังช่วยควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
2. ผักไร้แป้ง (Non-starchy vegetables)
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ผักไม่มีแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรตผสมอยู่เลย แต่ความจริงแล้วผักจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ
- ผักมีแป้ง มีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดคนได้
- ผักไร้แป้ง เป็นผักซึ่งไม่มีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตอยู่ และเหมาะสำหรับการรับประทานเพื่อเพิ่มความสมดุลให้อินซูลิน เช่น
คุณสามารถรับประทานผักได้ด้วยการปรุงอาหารหลายรูปแบบ อย่าข้อควรระวังคือ อย่าใส่น้ำตาล เกลือ มากเกินไปเพื่อป้องกันไขมันและโซเดียมที่อาจได้รับเกินความจำเป็น
3. ธัญพืชโฮลเกรน
อาหารประเภทที่มีธัญพืชโฮลเกรน (Whole grains) อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ทางที่ดีที่สุดสำหรับการรับประทานธัญพืชคือ การมองหาอาหารที่ทำจากธัญพืช 100% เพราะอาหารที่มีการดัดแปลงธัญพืชมาใช้ในส่วนผสมส่วนใหญ่มักไม่ได้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากเท่าที่ควร
อาหารธัญพืชโฮลเกรนที่ได้รับความนิยมได้แก่
- ขนมปังกรอบแครกเกอร์
- ขนมปังธัญพืช
- ข้าวโพดคั่ว
- ข้าวกล้อง
- เส้นพาสต้า
- ข้าวโอ๊ต
4. โกโก้
โกโก้ (Cacao) มีสารเคมีอีพิแคทีชิน (Epicatechin) ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตให้คงที่และเพิ่มการหลั่งอินซูลินให้มากขึ้น โดยเครื่องดื่มและขนมยอดนิยมที่ผสมโกโก้จะเป็นดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate)
แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ อาหารประเภทที่มีโกโก้เป็นส่วนผสมส่วนมากมักมีส่วนผสมของนมและน้ำตาลรวมอยู่ด้วย เวลาที่เลือกซื้อ เราจึงจำเป็นต้องดูรายละเอียดของส่วนผสมอาหารว่า มีปริมาณน้ำตาลมากน้อยขนาดไหน
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานสามารถรับประทานดาร์กช็อกโกแลตได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณอยู่ที่ 1-2 ชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กต่อวันเท่านั้น
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อควบคุมการหลั่งอินซูลินไม่เพียงแต่ทำให้ลดความเสี่ยงของอาการโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพด้านอื่นอีกด้วย เช่น
- มีภาวะอารมณ์ที่คงที่ ไม่ซึมเศร้าและสดชื่นขึ้น
- ลดอาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า
- ทำให้ระบบการทำงานของเส้นเลือดและสมองดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในโรคบางชนิด เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคไตเรื้อรัง
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ได้แก่ การรับประทานยา การใช้อินซูลิน (ถ้ามี) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
ทั้งนี้เพื่อควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย และสามารถลดระดับความรุนแรงของโรคลงได้ทีละน้อย ลดการใช้ หรือลดการใช้อินซูลินลงได้นั่นเอง