ประเทศไทยเรามีอากาศที่ร้อนเกือบทั้งปี ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด รวมไปถึงไวรัสตับอักเสบเอด้วย ซึ่งการติดของเชื้อนี้ จะทำให้เป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอ ที่อาจส่งผลทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น เช่น มีไข้ ปวดหัว เบื่ออาหาร อาเจียน และอาจมีอาการรุนแรง เกิดภาวะตับแข็ง ตับวาย จนเสียชีวิตได้ ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นได้ง่ายโดยที่ยังไม่ทันระวังตัว HDmall.co.th จึงได้รวบรวมความรู้มาฝากกัน เพื่อให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่เราควรรับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ และการที่เราได้รับวัคซีนนั้น เป็นป้องกันการติดเชื้อที่ปลอดภัย และป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอได้เป็นอย่างดี
สารบัญ
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอคืออะไร
- โรคไวรัสตับอักเสบเอคืออะไร
- อาการของโรคไวรัสตับอักเสบเอ
- ใครควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- ใครไม่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอฉีดตอนไหน
- การเตรียมตัวก่อนวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- การดูแลหลังฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอฉีดกี่เข็ม
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอป้องกันได้กี่ปี
- ผลข้างเคียงวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอคืออะไร
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine) เป็นวัคซีนที่มาจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอชนิดเชื้อตาย ในปัจจุบันวัคซีนที่ใช้อยู่มี 2 แบบ คือ HAVRIX และ VAQTA ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้ เป็นวัคซีนที่ปลอดภัยและสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคไวรัสตับอักเสบเอได้ ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก จะทำให้เกิดภูมิต้านทานในการป้องกันโรคไวรัสตับอัเสบเอได้ประมาณ 94-100% หลังจากที่ได้รับวัคซีนไปแล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์ และเมื่อได้รับการฉีดเข็มที่สอง จะสามารถป้องกันได้ถึง 100% โดยการรับวัคซีนฉีดจะต้องมีระยะห่างจากเข็มแรก 6-12 เดือน และเมื่อรับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอครบทั้ง 2 เข็มแล้ว ร่างกายของผู้ที่ได้รับวัคซีนจะสามารถกระตุ้นภูมิในได้ยาวนานกว่า 30 ปี หรือตลอดชีวิต
โรคไวรัสตับอักเสบเอคืออะไร
โรคไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) เป็นโรคที่เกิดการอักเสบของตับ จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Virus หรือเรียกย่อว่า HAV) ซึ่งเป็น RNA virus เชื้อไวรัสนี้อยู่ในตระกูล Picornaviridae ติดต่อด้วยการทานอาหารและน้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ โดยเชื้อนี้จะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางปาก กระจายไปตามกระแสเลือด และลงไปที่ตับ ซึ่งเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมีการเจริญเติบโตได้ดีในตับ และเกิดการปนเปื้อนในน้ำดีที่หลั่งออกมาจากเซลล์ตับไปสู่ลำไส้ จะติดออกมาจากการขับถ่าย ออกมากับอุจจาระของผู้ที่ติดเชื้อ แต่ไม่มีการปนเปื้อนในน้ำลายหรือปัสสาวะ
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอนี้ จะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ และส่งผลให้ตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ให้ตับได้รับความเสียหาย ผู้ที่ติดเชื้ออาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อยมาก ไปจนถึงขั้นที่รุนแรงมาก ซึ่งพบได้กับทุกคน ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ และในคนที่มีร่างกายไม่แข็งแรง หรือมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ผิดปกติ ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเอนั้นจะเป็นพาหะของโรค สามารถแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบเอ
เมื่อเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอแล้ว อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้
- รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย และไม่สบาย มีไข้ต่ำๆ
- มีอาการปวดหัว ไอ และเจ็บคอ
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- แน่นท้อง ปวดท้อง ท้องร่วง ท้องผูก
- ปวดตามกล้ามเนื้อ และข้อต่อ
- เจ็บที่ชายโครงด้านขวา
- ตับอักเสบแบบเฉียบพลันจนเป็นดีซ่าน ทำให้ตาเหลือง ตัวเหลือง
- อุจจาระสีอ่อน ปัสสาวะมีสีเข้ม
- คันตามผิวหนัง หรือมีผื่นคล้ายลมพิษ
- มีอาการง่วงซึม เกิดอาการสับสน
- มีภาวะทางอารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย
- มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ และไม่มีสมาธิ
- มีรอยช้ำเลือดเป็นจ้ำ และเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน
หากไม่ได้รักษาโรคนี้อย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้เกิดภาวะตับแข็ง ตับวาย จนเสียชีวิตได้และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอีกด้วย
ใครควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- ผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ ที่มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบเอ
- ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่กำลังมีการระบาดของไวรัสตับอักเสบเอ หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
- ผู้ที่ทำงานในบ่อบำบัดน้ำเสีย ซึ่งมีความเสี่ยง
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักและทางปาก มีความเสี่ยงสูง
- ผู้ที่ใช้ยาเสพติด เป็นผู้ที่มีความเสี่ยง
- ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
- ผู้ที่ทำงานในโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ
- ผู้ที่ทำงานเป็นพ่อครัว แม่ครัว ที่ต้องเตรียมและทำอาหารอยู่เป็นประจำ
- ผู้ที่ทำงานศูนย์เด็กเล็ก และโรงเรียนอนุบาล รวมถึงเด็กที่ต้องไปโรงเรียน
- ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสิ่งปฏิกูล
- ผู้ที่กำลังรักษาโรคที่เกี่ยวกับความเข้มข้นในการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่เป็นทหารในกองทัพ
- ผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วย HIV ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือด
ใครไม่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- ผู้ที่เคยมีอาการแพ้วัคซีนโรคไวรัสตับอักเสบเออย่างรุนแรงในเข็มแรก หรือแพ้ส่วนผสมสารในวัคซีน
- ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย เป็นไข้ ไม่สบาย ให้รอจนกว่าจะหายก่อน
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญ ก่อนที่จะรับการฉีดวัคซีน
- ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือมีเกร็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) เป็นภาวะที่เลือดมีจำนวนของเกล็ดเลือดน้อยกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- ผู้ที่เป็นโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอฉีดตอนไหน
- เมื่อรู้สึกว่ามีความเสี่ยง เพื่อที่จะป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จะต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และไม่เคยมีภูมิต้านทานมาก่อน
- เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำลังมีการระบาดของเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ และอาจกลายเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อได้
- เมื่อกำลังจะเดินทางไปยังพื้นที่ ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสตับอักเสบเอสูง ควรจะได้รับวัคซีนครบอย่างน้อย 1 เดือน ก่อนการเดินทาง
- เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ แต่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ สามารถรับการฉีดวัคซีนภายใน 2 สัปดาห์แรก หลังจากที่ได้สัมผัสเชื้อแล้ว โดยการปรึกษาแพทย์ก่อน
การเตรียมตัวก่อนวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย
- งดออกกำลังกายอย่างหนัก 2 วันก่อนฉีดวัคซีน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และ
- ดื่มน้ำอย่างน้อย 500-1,000 ซีซี
- ถ้ามีอาการแพ้อาหาร แพ้ยา หรือมีโรคประจำตัว ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
- ผู้ที่กำลังรับการรักษาโรคบางอย่างอยู่ ควรเลื่อนการรับวัคซีนไปก่อน
- ทุกครั้งที่มีการรับวัคซีน จะต้องมีการจดบันทึกทั้งหมด
- ตรวจหาภูมิต้านทานและเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ หากไม่พบภูมิคุ้มกันและเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จึงค่อยรับวัคซีน ตามคำแนะนำของแพทย์
การดูแลหลังฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
- หลังฉีดวัคซีน ควรนั่งพักเพื่อสังเกตอาการข้างเคียง หรืออาการแพ้ประมาณ 30 นาที
- ควรกลับไปสังเกตอาการต่อที่บ้าน 48-72 ชั่วโมง หากมีอาการข้างเคียงรุนแรง เช่น มีไข้สูง เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ลมพิษ ซีดขาว หายใจไม่สะดวก หายใจมีเสียงดังหวีด หรือหัวใจเต้นเร็ว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- หากมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ สามารถกินยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม
- ถ้ามีอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน อาจทานยาแก้ปวดและใช้ผ้าชุบน้ำประคบเย็นได้
- อาจเกิดตุ่มหนองหลังฉีดวัคซีน ให้ใช้สำลีสะอาดชุบน้ำต้มสุกเช็ดห้ามบ่งหนอง และไปพบแพทย์
- หลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว จะได้รับการนัดในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และควรมาให้ตรงวันตามนัดหมาย
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอฉีดกี่เข็ม
การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ ควรฉีดให้ครบ 2 เข็ม เพราะจะทำให้วัคซีนที่ฉีดเข้าไป สามารถสร้างภูมิต้านทาน และป้องกันได้ถึง 100%
วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอป้องกันได้กี่ปี
เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอแล้ว จะมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทาน ไม่ทำให้กลับมาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้อีก สามารถป้องกันได้นานมากกว่า 30 ปีขึ้นไป หรือตลอดชีวิต
ผลข้างเคียงวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ
หลังจากที่ได้รับวัคซีนแล้ว ผู้รับบริการอาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เนื่องจากร่างกายได้มีการต่อต้านวัคซีนที่ฉีดเข้าไป วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอที่ฉีดเข้าไปกำลังกระตุ้นร่างกาย ให้เกิดภูมิต้านทานการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเออยู่ โดยทั่วไปมักมีอาการน้อยมาก แต่ถ้ามี ก็มีอาการไม่มาก และสามารถหายเองได้ โดยมีอาการที่สามารถพบได้ดังนี้
- มีอาการเจ็บ ปวด บวม แดง และร้อนที่บริเวณที่ฉีดวัคซีน เนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอกำลังกระตุ้นร่างกายให้เกิดภูมิคุ้มกันอยู่
- เกิดตุ่มหนองหลังฉีดวัคซีนได้ แต่โอกาสที่จะเกิดแทบจะไม่มี หรือถ้ามีก็น้อยมาก และควรไปพบแพทย์
- อาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- มีอาการครั่นเนื้อตัว มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อ่อนเพลีย มีอาการคล้ายหวัด ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายภายใน 1-2 วัน
- อาจทำให้มีไข้สูง เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ลมพิษ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงดังหวีด หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ โอกาสที่จะเกิดอาการเหล่านี้มีน้อยมาก แต่ถ้าเป็นควรจะไปพบแพทย์ทันที
จะเห็นได้ว่า การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอนั้น สำหรับประเทศไทย ยังมีความจำเป็นและมีความคุ้มค่ามาก โดยฉีดให้ครบ 2 เข็ม เพียงแค่ครั้งเดียว ก็จะสามารถสร้างภูมิต้านทานได้นานมากกว่า 30ปีขึ้นไป หรือตลอดชีวิต