การคุมกำเนิด มี 2 ประเภทหลักๆ คือ การคุมกำเนิดแบบถาวร และการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว โดยการคุมกำเนิดแบบถาวร ก็คือการผ่าตัดทำหมันนั่นเอง ส่วนการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว แบ่งออกได้เป็นแบบใช้ฮอร์โมน กับแบบไม่ใช้ฮอร์โมน
โดยแบบใช้ฮอร์โมนได้แก่ การทานยาคุมกำเนิด การฉีดยาฉีดคุมกำเนิด ยาคุมแผ่นแปะ และการฝังยาคุม ส่วนแบบไม่ใช้ฮอร์โมน จะมีการใส่ห่วงคุมกำเนิด และถุงยางอนามัย ซึ่งการเลือกใช้วิธีใดนั้น ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
โดยทุกวิธีที่กล่าวมานั้นค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันดี ยกเว้นการฝังยาคุม ที่แม้มีมานานแล้วแต่อาจยังไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจมากนัก แต่กำลังมีแนวโน้มที่จะถูกใช้เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ สะดวก และปลอดภัย
วันนี้ HDmall.co.th ได้รวบรวมข้อมูล การฝังยาคุม โดยละเอียดมาฝากกัน
สารบัญ
- การฝังยาคุมกำเนิดคืออะไร?
- การฝังยาคุมกำเนิดทำงานอย่างไร?
- การฝังยาคุมกำเนิดเหมาะกับใคร?
- การฝังยาคุมกำเนิดไม่เหมาะกับใคร?
- ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด
- ข้อเสียของการฝังยาคุมกำเนิด
- การเตรียมตัวก่อนฝังยาคุมกำเนิด
- ขั้นตอนการฝังยาคุมกำเนิด
- ข้อควรปฏิบัติหลังฝังยาคุมกำเนิด
- ผลข้างเคียงของการฝังยาคุมกำเนิด
- ฝังยาคุมกำเนิดแล้วเริ่มคุมกำเนิดเลยไหม?
- ควรเอายาคุมที่ฝังออกเมื่อใด?
- ความเสี่ยงของการฝังยาคุมกำเนิด
การฝังยาคุมกำเนิดคืออะไร?
ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) เป็นยาคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่ออกฤทธิ์นาน (Long-Acting Reversible Contraceptive) ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับใช้ฝังตื้นใต้ผิวหนัง (Subdermal Use) ซึ่งบรรจุฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสตินไว้ (Progestin) โดยมีตัวยาที่ใช้กันมาก คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) และเอโทโนเจสเตรล (Etonogestrel) ซึ่งจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้เป็นเวลา 3 หรือ 5 ปี ตามชนิดของยา
โดยยาฝังคุมกำเนิดที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
- Implanon® ชนิดฝัง 1 แท่ง จะเป็นฮอร์โมน Etonogestrel 68 มิลลิกรัม คุมกำเนิดได้ 3 ปี แท่งยาฝังจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 60-70 ไมโครกรัม ในช่วงเดือนแรก หลังจากนั้นฮอร์โมนจะลดลงเหลือ 30 ไมโครกรัมหลังจาก 2 ปี
- Jadelle® ชนิดฝัง 2 แท่ง จะเป็นฮอร์โมน Levonorgestrel 75 มิลลิกรัม คุมกำเนิดได้ 5 ปี แท่งยาฝังจะค่อยๆ ปล่อยฮอร์โมนออกมาวันละ 100 ไมโครกรัม ในช่วงเดือนแรก หลังจากนั้นจะลดลงเหลือ 40 ไมโครกรัมต่อวัน และ 30 ไมโครกรัมต่อวัน หลังจาก 1 ปี และ 2 ปี ตามลำดับ
การฝังยาคุมกำเนิดทำงานอย่างไร?
การฝังยาคุมกำเนิด จะใช้หลอดยาหรือแท่งพลาสติก ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ซึ่งบรรจุฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสตินไว้ นำมาฝังที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านใน ซึ่งจะใช้เวลาในการฝังยาเพียงประมาณ 2 นาทีเท่านั้น โดยการทำงานของการฝังยาคุมกำเนิดจะมีดังนี้
- ฮอร์โมนโปรเจสตินจะค่อยๆ ซึมออกมาจากแท่งยาหรือหลอดเข้าสู่กระแสเลือด และไปกดการทำงานของไฮโปทาลามัสและต่อมใต้สมอง ยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลให้ไม่เกิดการตกไข่ เมื่อไม่มีไข่ที่จะปฏิสนธิกับเชื้ออสุจิ จึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
- ฮอร์โมนโปรเจสตินที่ปล่อยออกมา จะทำให้เมือกที่ปากมดลูกเหนียวข้น มีปริมาณน้อย ทำให้อสุจิว่ายผ่านเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ยาก
- นอกจากนี้ ยังทำให้เยื่อบุผนังหมดลูกบาง ไม่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งทำให้ไข่ที่ถูกผสมแล้วไม่สามารถเกาะที่ผนังมดลูกได้ดี จึงช่วยลดโอกาสเกิดการผสมกับไข่ได้อีกทางหนึ่ง
การฝังยาคุมกำเนิดเหมาะกับใคร?
ยาคุมกำเนิดชนิดฝังนั้น โดยทั่วไป จะสามารถใช้ได้กับผู้หญิงทุกคน แม้แต่ผู้ที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน หรือ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่สามารถควบคุมได้ ก็สามารถใช้ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ
โดยการฝังยาคุมกำเนิดอาจเหมาะกับ
- ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ในระยะเวลา 3 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อยๆ
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ผู้ที่มีบุตรมาแล้ว และไม่ประสงค์มีบุตรในขณะนี้ แต่ประสงค์จะมีบุตรอีกในอนาคต
การฝังยาคุมกำเนิดไม่เหมาะกับใคร?
สำหรับผู้ที่ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำเนิดนั้น มีดังนี้
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือหากสงสัยว่าตั้งครรภ์ ให้ตรวจหาการตั้งครรภ์ก่อน
- ผู้ที่มีปฏิกิริยาไวต่อส่วนประกอบของแท่งหรือหลอดบรรจุฮอร์โมน
- ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบใดๆ ในยาคุมกำเนิด
- ผู้ที่เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ เคยเป็นหรือกำลังเป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจไปกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งลุกลามได้
- ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของตับ เป็นโรคตับ ตับแข็ง มีเนื้องอกในตับ หรือเป็นโรคตับอักเสบ เนื่องจากผลข้างเคียงของยาฝังอาจส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเพิ่มขึ้นได้
- ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือนหรือหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจกระตุ้นให้เลือดออกมากขึ้นได้
- ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด มีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจไปรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือดที่มีหน้าที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวในภาวะเลือดออกได้
- ผู้ที่มีเนื้องอกชนิดที่ไวต่อโปรเจสเตอโรนหรือฮอร์โมนที่มีฤทธิ์คล้ายโปรเจสเตอโรน
- ผู้ที่มีการอักเสบของหลอดเลือดดำร่วมกับมีลิ่มเลือด (Thrombophlebitis) หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด (Thromboembolic Disorders)
- ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดง (Arterial Disease) มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง
ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดมีด้วยกันหลายวิธี และหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกว่าคุณเหมาะกับวิธีไหนนั้นก็คือการพิจารณาข้อดีของวิธีนั้นๆ ต่อไปนี้เป็นข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เมื่อเทียบกับระยะเวลาในการคุมกำเนิด
- ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก มีอัตราความล้มเหลวไม่เกิน 0.1%
- เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3 หรือ 5 ปี ตามชนิดของยา
- มีข้อจํากัดหรือข้อห้ามใช้น้อย ใช้ได้กับกลุ่มคนที่หลากหลาย รวมถึงแม่ที่ให้นมลูก ผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาประเภทเอสโตรเจน หรือผู้ที่น้ำหนักมากเกิน (แต่ประสิทธิภาพอาจลดลง)
- ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และไม่รบกวนการมีเพศสัมพันธ์ เพราะเมื่อฝังยาคุมกำเนิดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นตลอดระยะเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี
- ไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ ไม่ต้องนับวันตกไข่ ช่วยลดโอกาสการลืมรับประทานยาคุมกำเนิด หรือลดโอกาสฉีดยาคุมไม่ตรงกำหนด
- มีอาการข้างเคียงน้อย เนื่องจากยาฉีดคุมกำเนิดมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว ไม่มีฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจน จึงทำให้ไม่ได้รับผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น เป็นฝ้า คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ฯลฯ จึงใช้ได้ในผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาที่มีเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบ
- หากต้องการหยุดใช้ สามารถให้แพทย์นำออกได้ทันที เช่น เมื่อต้องการจะมีบุตร หรือต้องการเปลี่ยนไปใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
- หลังจากหยุดใช้ สามารถมีบุตรได้เร็วกว่าการฉีดยาคุม เนื่องจากฮอร์โมนกระจายออกในปริมาณน้อยและไม่สะสมในร่างกาย
- มีส่วนช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และลดภาวะประจำเดือนมามาก ส่งผลให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง
- ลดโอกาสการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งรังไข่ และภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน เพราะยาฝังคุมกำเนิด จะทำให้เมือกที่คอมดลูกข้นขึ้น จึงช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปสู่มดลูกได้
- หลังจากที่แท้งบุตร ทำแท้ง คลอดบุตร หรือระหว่างที่ให้นมบุตร สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้ทันทีและไม่เป็นอันตราย
- ไม่มีผลต่อการหลั่งของน้ำนมของผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- ไม่ทำให้การทำงานของตับเปลี่ยนแปลง
ข้อเสียของการฝังยาคุมกำเนิด
ข้อเสียของยาฝังคุมกำเนิด มีดังต่อไปนี้
- ไม่สามารถเริ่มใช้หรือหยุดใช้ด้วยตนเอง และไม่สามารถฝังหรือถอดโดยแพทย์ทั่วไปได้ ต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ผู้มีความชํานาญในการฝังและการถอดเท่านั้น
- ในปีแรกอาจมีผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งถือเป็นผลข้างเคียงที่พบได้จากการฝังยาคุมโดยมีทั้งแบบที่มาไม่ตรงเวลา มามากขึ้น มาน้อยลง หรืออาจไม่มีเลือดออกเมื่อมีประจำเดือน บางคนอาจมาแบบกะปริบกะปรอยทำให้ต้องใส่ผ้าอนามัยไว้เสมอ แต่เมื่อผ่านปีแรกไปแล้วปัญหาจะลดลง
- ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ (Sexually Transmitted Infection) ซึ่งต่างจากการใช้ถุงยางอนามัยที่ช่วยป้องกันได้ ดังนั้น หากต้องการความมั่นใจในความปลอดภัยจากการติดเชื้อก็จะต้องมีการป้องกันเพิ่มขึ้น เช่นการใส่ถุงยางอนามัย เป็นต้น
- อาจพบปัญหาและภาวะแทรกซ้อนได้ แต่ไม่บ่อย เช่น คลำเจอแท่งยาในบริเวณท้องแขน พบก้อนเลือดคั่งบริเวณที่กรีดผิวหนัง เกิดการติดเชื้อ เจ็บ คัน ระคายผิวและมีรอยช้ำบริเวณที่ฝังยา มีแผลเป็น ผิวหนังฝ่อ เกิดพังผืดรอบแท่งยา เป็นต้น
- หากฝังแท่งยาลึกเกินไป ตำแหน่งของแท่งยาอาจเคลื่อนไปจากที่เดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการออกฤทธิ์ของยา ยากต่อการค้นหาและนำแท่งยาออก อีกทั้งยังอาจเกิดอันตรายจากแท่งยาได้
- อาจมีผลไม่พึงประสงค์ เช่น ประจําเดือนมาผิดปกติ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า รบกวนความรู้สึกทางเพศ เจ็บคัดเต้านม ช่องคลอดอักเสบและแห้ง เกิดฝ้า สิว บวมน้ำ น้ำหนักขึ้น
- ความหนาแน่นแร่ธาตุในกระดูกลดลงเล็กน้อย แต่ไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหัก
- หากฝังไม่ถูกวิธี อาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาทได้
การเตรียมตัวก่อนฝังยาคุมกำเนิด
ในการเตรียมตัวก่อนฝังยาคุมกำเนิดนั้น ควรศึกษาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมทั้งปรึกษาแพทย์ประจำตัวและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเข้ารับบริการที่แผนกสูตินรีเวชตามโรงพยาบาลทั่วไปได้ ซึ่งจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที และสามารถกลับบ้านได้ทันที ไม่จำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาล
เวลาที่เหมาะสมในการฝังยาคุมกำเนิด ควรทำภายใน 5 วันแรกหลังมีประจำเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ หรือภายหลังการแท้งบุตรไม่เกิน 1 สัปดาห์ หรือหลังการคลอดบุตรไม่เกิน 4-6 สัปดาห์
สำหรับค่าใช้จ่ายในการฝังยาคุมกำเนิดมีดังนี้ ในโรงพยาบาลรัฐ ประมาณ 2,500-4,000 บาท และโรงพยาบาลเอกชน หรือ คลินิก ประมาณ 5,000-7,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี สามารถเข้ารับการคุมกำเนิดฟรีทุกวิธี รวมถึงยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัย ที่โรงพยาบาลเครือข่ายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ขั้นตอนการฝังยาคุมกำเนิด
ในการฝังยาคุมกำเนิดจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ขั้นแรก แพทย์จะทำรอยขนาดเล็กไว้บนท้องแขนด้านใน ข้างที่ต้องการจะฝังยา
- ทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- ฉีดยาชาเฉพาะที่ ที่บริเวณใต้ท้องแขน ซึ่งอาจเจ็บเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ไม่เจ็บขณะฝังยา
- จากนั้นแพทย์จะใช้เข็มเปิดแผลที่ท้องแขนขนาด 0.3 เซนติเมตร และสอดใส่แท่งตัวนำหลอดยาที่มียาบรรจุอยู่เข้าไปในเข็มนำนี้
- เมื่อหลอดยาเข้าไปใต้ผิวหนังเรียบร้อยแล้วก็จะถอนแท่งนำยาและเข็มนำออกมา แล้วปิดแผลด้วยพลาสเตอร์เล็กๆ ตามด้วยผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นหนึ่ง โดยทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันเลือดออก
- แพทย์ผู้ที่ทำการฝังยาจะตรวจสอบตำแหน่งของยาที่ฝังเข้าไปโดยการจับบริเวณที่ฝัง หรือหากจำเป็น อาจทำอัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์เพื่อยืนยันว่ายาฝังคุมกำเนิดได้ถูกฝังเอาไว้อย่างถูกต้อง
- จากนั้น แพทย์จะให้ยาแก้ปวดกลับไปรับประทานหากมีอาการปวดแผลที่บ้าน และนัดมาดูแผลอีกครั้งใน 7 วัน
ข้อควรปฏิบัติหลังฝังยาคุมกำเนิด
หลังฝังยาคุมกำเนิด ควรปฏิบัติดังนี้
- เมื่อครบ 24 ชั่วโมง สามารถนำผ้าพันแผลออกเองได้ แต่ให้เหลือพลาสเตอร์ปิดแผลเอาไว้เป็นเวลา 3-5 วัน จึงค่อยนำออก
- ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ เป็นเวลา 7 วัน
- อาจพบรอยฟกช้ำและรู้สึกเจ็บแขนเล็กน้อยบริเวณรอบแท่งฮอร์โมน โดยรอยช้ำจะค่อยๆ หายไปเอง หลัง 7 วัน
- ห้ามยกของหรือออกกำลังกายหนัก และระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระแทกบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิด
- ควรงดมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันแรก หรือให้ใช้ถุงยางคุมกำเนิดไปก่อน
- เมื่อครบ 7 วัน แพทย์จะนัดมาดูแผลอีกครั้ง และต่อไปปีละครั้งเพื่อติดตามผล
- เมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือ 5 ปี ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะลดลง ให้มาถอดยาฝังออก และใส่หลอดใหม่เข้าไป ตามที่แพทย์นัด
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีอาการของการตั้งครรภ์ แผลมีเลือด มีน้ำเหลือง มีหนอง บวมแดง ฯลฯ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- ห้ามพยายามนำแท่งฮอร์โมนออกด้วยตัวเอง
- งดยาที่มีผลกระทบหรือรบกวนการใช้ยาฝังคุมกำเนิด ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาไรฟาบิวติน (Rifabutin) หรือยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ยารักษาโรคเอดส์ (HIV) ยารักษาโรคลมชัก (Epilepsy) แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ช่วงระยะสั้น ควรใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากยาฝังคุมกำเนิด ในระหว่างหรือหลังจาก 28 วันที่ใช้ยาข้างต้น แต่หากต้องใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาว อาจต้องพิจารณาใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากยาเหล่านี้
- ก่อนใช้ยาข้างต้นหรือ หากต้องเข้ารับการรักษาใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่ากำลังใช้ยาฝังคุมกำเนิด
- หากคลำไม่พบแท่งยา จะทำให้ทราบว่าแท่งยาเกิดการเคลื่อนที่ ต้องไปพบแพทย์เพื่อนำแท่งยานั้นออกและฝังแท่งใหม่เข้าไปแทน
- ควรรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอ เพราะการใช้ยาเป็นเวลานานอาจทำให้ความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกลดลงเล็กน้อย (แต่กลับเป็นปกติได้เมื่อหยุดใช้)
ผลข้างเคียงของการฝังยาคุมกำเนิด
ผลข้างเคียงของการฝังยาคุมกำเนิด มักเกิดขึ้นได้ไม่บ่อย และมักหายไปหลังจาก 2-3 เดือนแรก แต่หากพบว่ายังมีอาการอยู่ หรือมีอาการรุนแรงใดๆ ควรรีบไปพบแพทย์
- อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ มามาก มาน้อย หรือไม่มาเลย และทำให้เกิดความกังวลว่าจะตั้งครรภ์
- อาจมีอาการระคายเคือง ปวด บวมแดงบริเวณผิวหนังที่ฝังยาเข้าไป แต่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
- อาจเกิดการอักเสบที่แผลฝังยาคุมกำเนิด หรือมีรอยแผลเป็นได้
- อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเพราะยาฝังคุมกำเนิดหรือไม่) อาจบวมน้ำ ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม ปวดท้อง คลื่นไส้ ผมอาจบางลง
- อาจทำให้เป็นสิว ขนดก และความต้องการทางเพศลดลง
- อาจมีอารมณ์แปรปรวน หรือ มีภาวะซึมเศร้า
- ยาฝังคุมกำเนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อยาชนิดอื่นๆ
- หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น อาจมีโอกาสการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากกว่าปกติ
- หากฝังแท่งยาตื้นเกินไป อาจทำให้รู้สึกเจ็บ รบกวนการรับความรู้สึกที่ผิวหนังบริเวณที่ฝังแท่งยาและเกิดผิวหนังอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ
- หากฝังแท่งยาใต้ผิวหนังลึกไป จะเสี่ยงต่อการเคลื่อนที่ของแท่งยา ทำให้ตัวยาปล่อยสู่กระแสเลือดมากขึ้น และยังเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากแท่งยาได้อีกด้วย
- หากฝังแท่งยาไม่ถูกต้อง อาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท
- หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ความหนาแน่นแร่ธาตุในกระดูก (Bone Mineral Density) ลดลงเล็กน้อยซึ่งกลับสู่ปกติได้เมื่อหยุดใช้ และไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหัก
ฝังยาคุมกำเนิดแล้วเริ่มคุมกำเนิดเลยไหม?
- หากฝังยาคุมกำเนิดเอาไว้ในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที
- หากฝังยาเอาไว้ในวันอื่นๆ ของรอบประจำเดือน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลังจากฝังยาคุมกำเนิด 7 วันขึ้นไป
- ผู้ที่คลอดบุตร หากฝังยาคุมกำเนิดก่อนหรือวันที่ 21 หลังจากคลอด จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที
ควรเอายาคุมที่ฝังออกเมื่อใด?
โดยทั่วไป การเอายาคุมที่ฝังออกนั้นสามารถทำได้ตามความต้องการ โดยเมื่อครบกำหนด 3 หรือ 5 ปี ตามที่แพทย์นัด ต้องให้แพทย์ถอดยาคุมออก และใส่หลอดใหม่เข้าไป แต่ในกรณีที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ เช่น มีอาการของโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดในสมอง ความดันโลหิตสูง หรือเกิดภาวะซึมเศร้า แพทย์อาจแนะนำให้นำยาฝังคุมกำเนิดออกก่อนกำหนด และใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นแทน
ความเสี่ยงของการฝังยาคุมกำเนิด
การฝังยาคุมกำเนิดอาจมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ แต่เกิดขึ้นได้น้อยมาก เพียง 2% เท่านั้น และสามารถรักษาให้หายได้เพียงการทำความสะอาดบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิดและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเท่านั้น
อีกกรณีที่พบได้ยากเช่นกัน คือ หากเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นในขณะที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดอยู่ อาจมีโอกาสการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเช่นกัน
สุดท้าย กรณีที่ฝังแท่งยาไม่ถูกต้อง อาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท ดังนั้นการฝังแท่งยาคุมกำเนิดและการเอาแท่งยาออก จะต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น
หากสนใจแพ็กเกจคุมกำเนิดด้วยวิธีฝังยาคุม ราคาแพ็กเกจฝังยาคุมของโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ จะอยู่ที่ประมาณ 6,000-8,000 บาท โดยท่านสามารถตรวจสอบราคาและส่วนลด Cashback ได้ที่ HDmall.co.th