คันซ้ำ ๆ บริเวณผิวหนัง เป็นผื่นแดง ระคายเคือง หรือมีตุ่มเล็ก ๆ ยิ่งเกายิ่งคัน ปล่อยไว้ยิ่งลาม อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคผิวหนังจากเชื้อรา ถ้าปล่อยทิ้งไว้หรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจลุกลามจนรักษาได้ยาก บางครั้งกว่าจะหายขาดอาจต้องใช้เวลานานนับเดือน โรคผิวหนังจากเชื้อรา มีสาเหตุมาจากอะไร ควรรักษาอย่างไร เลือกยาทาเชื้อราแบบไหนถึงแก้ปัญหาได้ตรงจุด ต้องใช้ครีม โลชั่น หรือยารับประทาน
สารบัญ
โรคผิวหนังจากเชื้อรา มีสาเหตุมาจากอะไร ?
โรคผิวหนังจากเชื้อราเป็นโรคที่เกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง พบได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่จะพบได้บ่อยในบริเวณอับชื้น เช่น ข้อพับ ซอกนิ้วมือ นิ้วเท้า ขาหนีบ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผ่นหลัง หรืออวัยวะเพศ
สาเหตุที่เป็นเชื้อรา ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผิวหนังสัมผัสกับเชื้อราโดยตรง หรือสวมใส่เสื้อผ้าที่มีเชื้อราอยู่
โดยเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้น ยิ่งผู้ที่มีเหงื่อออกมาก หรือสวมใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ ก็จะมีโอกาสเป็นโรคผิวหนังจากเชื้อรามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้โรคผิวหนังจากเชื้อราอาจติดต่อได้จากการสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นโรค จึงควรระมัดระวังในการสัมผัสกับสัตว์ที่มีอาการ เช่น ขนร่วง มีอาการคัน เกาบ่อย ผิวหนังถลอก เป็นต้น
โรคที่พบได้บ่อย เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า สังคัง เชื้อราที่เท้า ซึ่งแต่ละโรคจะมีอาการเฉพาะที่แตกต่างกันไป แต่อาการร่วมที่สังเกตได้ง่ายที่สุดคือ
- มีอาการคันซ้ำๆ ที่ผิวหนัง
- ผิวหนังเป็นผื่น มีตุ่มเล็กๆ หรือบวม แดง
- มีอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง
ทั้งนี้ยาทาเชื้อรา ยารักษาเชื้อราผิวหนัง ที่นิยมใช้รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรามีหลายรูปแบบ ทั้งแบบครีม โลชั่น ซึ่งยาทั้ง 2 ชนิดนี้ ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป
ยาทาเชื้อราชนิดครีม
ยาทาเชื้อราเป็นยาที่ใช้รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เพราะใช้สะดวก รักษาได้หลากหลายอาการ โดยยาทาชนิดครีมแบ่งออกเป็นหลายแบบ ตามตัวยาที่ออกฤทธิ์
โคลไทรมาโซล (Clotrimazole)
ตัวยาโคลไทรมาโซล (Clotrimazole) เป็นยาใช้ภายนอกในกลุ่มยาต้านเชื้อรา มีฤทธิ์กำจัดและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราบริเวณผิวหนังโดยตรง สามารถใช้รักษาได้หลากหลายโรค เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า หรือฮ่องกงฟุต โรคผิวหนังจากการติดเชื้อแคนดิดา โรคผิวหนังชนิดเป็นแผ่นหนาที่ขาหนีบ รักแร้ เป็นต้น
ข้อแนะนำในการใช้ยา
- ใช้ทาได้ทุกตำแหน่งของร่างกาย รวมทั้งจุดที่บอบบาง เช่น ใบหน้า ขาหนีบ หรือบริเวณที่เป็นเชื้อรา
- แนะนำให้ทาวันละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับอาการ เพื่อให้ฆ่าเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ก่อนทายา ให้ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่มีอาการแล้วเช็ดให้แห้งก่อน จากนั้นจึงทายา โดยแนะนำให้ทาเลยบริเวณขอบประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อป้องกันเชื้อราลุกลาม โดยทาเบาๆ ให้ตัวยาซึมสู่ผิวหนังจนหมด และล้างมือให้สะอาดหลังทายาเสร็จ
ไบโฟนาโซล (Bifonazole)
ตัวยาไบโฟนาโซล (Bifonazole) เป็นยาใช้ภายนอกมีฤทธิ์ต้านเชื้อราเช่นกัน แต่แตกต่างที่ตัวยาไบโฟนาโซลนั้น นอกจากลดอาการคัน และฆ่าเชื้อราแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบ สำหรับเชื้อราที่อาการเริ่มรุนแรง เช่น มีอาการบวม แดง ร่วมด้วย และยังรักษาโรคเชื้อราได้หลายประเภท ทั้งจากเชื้อเดอร์มาโตไฟต์ ยีสต์และเชื้อราอื่นๆ เช่น น้ำกัดเท้า กลาก เกลื้อน เชื้อราที่ขาหนีบ กลากจากเชื้อราแมวและโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อแคนดิดา
ข้อแนะนำในการใช้ยา
- ทาบริเวณที่เป็นเชื้อรา ตามร่างกาย
- ทาเพียงวันละ 1 ครั้งเท่านั้น หลังอาบน้ำหรือก่อนนอน เหมาะกับผู้ที่ไม่สะดวกทายาบ่อยๆ ช่วยลดปัญหาทายาไม่ครบและกลับมาเป็นซ้ำ โดยทาต่อเนื่องประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับอาการ แต่หากผิวหนังมีอาการอักเสบ บวมแดงมาก ควรปรึกษาแพทย์และรับประทานยาร่วมด้วย
- ก่อนทายา ให้ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่มีอาการแล้วเช็ดให้แห้งก่อน จากนั้นจึงทายาบางๆ บริเวณผิวหนังที่เป็น โดยทาเบาๆ ให้ตัวยาซึมจนหมด แนะนำให้ทาเลยบริเวณขอบประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร เพื่อป้องกันเชื้อราลุกลาม และล้างมือให้สะอาดหลังทายาเสร็จ
ข้อควรระวังในการใช้ยาทาฆ่าเชื้อราชนิดครีม
- หากทายาแล้วมีอาการแสบ คัน ระคายเคือง บวม แดงบริเวณที่ใช้ยา หรือมีความผิดปกติอื่นๆ แนะนำให้หยุดใช้ยาทันทีแล้วไปพบแพทย์ เพราะอาจแพ้ตัวยาดังกล่าวได้
- ควรใช้ต่อเนื่องตามระยะเวลาที่แนะนำบนฉลาก แม้อาการจะหายดีแล้ว
ยาทาเชื้อราชนิดโลชั่น
ยาทาฆ่าเชื้อราชนิดโลชั่น เป็นยารักษาโรคผิวหนังที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ยาทาชนิดนี้มักมีฤทธิ์เป็นกรด ออกฤทธิ์ลอกเซลล์ผิวหนังกำพร้าบริเวณที่ติดเชื้อรา ใช้รักษาได้หลายอาการ เช่น กลาก เกลื้อน สังคัง เชื้อราในร่มผ้า และโรคน้ำกัดเท้า
ข้อแนะนำในการใช้ยา
- เหมาะกับผิวหนังที่หนาและไม่มีแผลเปิด แต่ไม่เหมาะกับบริเวณที่เป็นเนื้อเยื้ออ่อน เช่น อวัยวะเพศ รอบดวงตา เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นแผล ซึ่งจะทำให้เชื้อรายิ่งลามเข้าสู่ผิวหนังส่วนลึกได้
- ก่อนทายาต้องทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่มีอาการแล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้สำลีชุบยา แล้วทาบางๆ ปล่อยให้แห้ง ห้ามถู ห้ามขยี้ เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังได้
- ทาวันละ 1-2 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าอาการจะหาย
ข้อควรระวังในการใช้ยาทาฆ่าเชื้อราชนิดโลชั่น
- เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์ที่ลอกผิวเซลล์ จึงต้องระมัดระวังในการใช้ ทั้งในแง่ปริมาณยา ระยะเวลาและตำแหน่งที่ใช้
- หากใช้ผิดวิธี ยาอาจกัดผิวหนังส่วนลึกจนอักเสบ ระคายเคือง แสบร้อน มีการหลุดลอกของเซลล์ผิว หากเป็นรุนแรงผิวหนังอาจไหม้ เกิดเป็นแผลติดเชื้อตามมาได้
- ห้ามใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
สรุปคุณสมบัติของยาทารักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาฆ่าเชื้อราที่ผิวหนัง
ยาฆ่าเชื้อราแบบครีมกับโลชั่นต่างกันอย่างไร ?
- ยาฆ่าเชื้อราแบบครีม
- ทาให้ถูกจุดบริเวณที่มีอาการ
- ทาง่าย ไม่เลอะเทอะ
- ยาฆ่าเชื้อราแบบโลชั่น
- เหมาะสำหรับการใช้บริเวณที่มีขนบาง ๆ
- ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ง่าย ไม่ทำให้ผิวแห้งลอก
- ราคาถูก
ยาฆ่าเชื้อราแบบครีม ใช้ทาวันละกี่ครั้ง ?
- แบบทั่วไป (ทาวันละ 2-3 ครั้ง)
- ควรทายาฆ่าเชื้อราโดยทำความสะอาดผิวก่อน แล้วทาวันละ 2-3 ครั้ง
- ใช้อย่างต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ หรือจนกว่าอาการจะหาย
- ห้ามหยุดทายาก่อนกำหนด แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
- แบบใหม่ (ทาวันละ 1 ครั้ง)
- ใช้ง่าย เพียงทาก่อนนอนหรือตอนเย็น
- ลดปัญหาการลืมทายา
- ระบุว่าให้ใช้ตามคำแนะนำในฉลากยา
ถ้ามีอาการอักเสบ บวม แดง ควรใช้ยาฆ่าเชื้อราแบบไหน ?
- ยาฆ่าเชื้อราที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
- เหมาะสำหรับลดอาการอักเสบร่วมกับเชื้อรา
- ใช้ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์
- ยาฆ่าเชื้อราที่ลดการอักเสบโดยไม่ใช้สเตียรอยด์
- แนะนำให้ใช้ในกรณีที่เป็นเชื้อราโดยไม่มีอาการอักเสบรุนแรง
- อ่อนโยนต่อผิวหนัง ลดการระคายเคือง
นอกจากตัวยาที่กล่าวมาแล้ว ยังมียาทาฆ่าเชื้อราที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ที่รู้จักกันทั่วไปนั้นเป็นยาในกลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) ใช้ลดการอักเสบ ลดอาการแพ้ และกดภูมิคุ้มกันในโรคต่างๆ สามารถลดอาการคัน รอยแดงได้ในเวลาไม่กี่วัน แต่ยาชนิดนี้มักใช้ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรง ซึ่งต้องใช้อย่างระมัดระวัง เป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะสเตียรอยด์มีฤทธิ์กดภูมิต้านทานของร่างกาย หากใช้เป็นเวลานานๆ อาจทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีขึ้นหรือมีเชื้อชนิดอื่นเกิดแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ติดต่อกันนานเกิน 14 วัน หากการอักเสบทุเลาลงแล้ว ควรหยุดใช้ แล้วใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
อาการคันซ้ำๆ จากเชื้อรา เป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศ ทุกวัย และเกิดได้ในทุกๆ ตำแหน่งของร่างกาย วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อรา ด้วยการรักษาสุขอนามัยส่วนตัว ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ แต่หากมีอาการเกิดขึ้นแล้ว ควรรีบรักษาและเลือกใช้ยาให้เหมาะสม ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเลือกยาชนิดใด ก็ควรใช้ยาให้ครบตามปริมาณและระยะเวลาที่กำหนดบนฉลาก หรือตามที่เภสัชกรหรือแพทย์แนะนำ
โดยทั่วไปหากหายแล้วก็ควรทายาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อกำจัดเชื้อราให้หมด เพราะถ้าเชื้อรายังหลงเหลืออยู่ อาจกลับมาเป็นซ้ำได้ ซึ่งจะทำให้รักษายากและใช้เวลานานยิ่งขึ้น เนื่องจากเชื้อราอาจดื้อยาแล้ว
หากกังวลว่าจะไม่สามารถทายาได้วันละ 2-3 ครั้ง อย่างต่อเนื่อง สามารถเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อราตัวยาไบโฟนาโซล ที่ทาเพียงวันละ 1 ครั้ง ก็จะช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ จากการลืมทายาได้
โรคผิวหนังจากเชื้อรา หากรักษาถูกวิธีก็สามารถหายขาดได้ในเวลาไม่นาน แต่การใช้ยาทุกครั้งไม่ว่าจะเลือกแบบใด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด
เขียนโดย ทพญ.พิชญา สิทธิโชคพันธ์