บลูเบอร์รี ผลไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยว จัดเป็นของทานเล่นระหว่างวันที่ช่วยให้อิ่มท้องได้ดีโดยไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้บลูเบอร์รียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย มีการนำบลูเบอร์รีมาแปรรูป กลายเป็นเครื่องดื่ม อาหาร เช่น น้ำบลูเบอร์รี แยมบลูเบอร์รี บลูเบอร์รีอบแห้ง บลูเบอร์รีแช่แข็ง และบางครั้งยังใช้บลูเบอร์รีเป็นส่วนประกอบในของหวาน เช่น เค้กรสบลูเบอร์รี โยเกิร์ตรสบลูเบอร์รี กลิ่นหอมและรสชาติของบลูเบอร์รียังถูกนำมาดัดแปลงให้อยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้านหลายอย่าง เช่น น้ำหอมกลิ่นบลูเบอร์รี สบู่ หรือแชมพูกลิ่นบลูเบอร์รี
สารอาหารในบลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี 148 กรัมให้พลังงานประมาณ 84 แคลอรี แบ่งออกเป็น
- ไฟเบอร์ 4 กรัม
- โปรตีน 1.1 กรัม
- ไขมัน 0.49 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 21.45 กรัม
- แคลเซียม 9 มิลลิกรัม
- น้ำตาล 14.74 กรัม
นอกจากนี้บลูเบอรียังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญต่อร่างกายหลายชนิด เช่น ธาตุเหล็ก 0.41 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 114 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รีอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น
1. เป็นสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ
บลูเบอร์รีเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงความเสื่อมของร่างกายก่อนวัยอันควรได้
สารต้านอนุมูลอิสระที่มีในบลูเบอรีมากที่สุดคือสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols) ชื่อว่า “ฟลาโวนอยด์”
สารฟลาโวนอยด์ยังแบ่งออกได้อีกหลายกลุ่ม ในกลุ่มที่มีในบลูเบอร์รีมากและดีต่อสุขภาพที่สุดก็คือ สารแอนโทไซนานิน (Anthocyanins) ซึ่งพบได้มากในผลไม้สีน้ำเงิน หรือม่วง
2. ป้องกันการเกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน
ภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (Oxidative damage) คือ ภาวะที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระในร่างกายเข้าไปทำลายระบบการทำงานของเซลล์ โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นจากไขมันไม่ดี (Low Density Lipoprotein: LDL) ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจได้
แต่สารต้านอนุมูลอิสระในบลูเบอร์รีจะช่วยกำจัดไขมันไม่ดีในเส้นเลือดให้ลดลงได้ ดังนั้นโอกาสการเกิดโรคร้ายชนิดนี้จึงน้อยลง
3. บำรุงระบบการทำงานของสมองและความทรงจำ
สารต้านอนุมูลอิสระจากบลูเบอร์รีมีประโยชน์ในการบำรุงเซลล์ประสาท และสมองส่วนที่สำคัญต่อเชาว์ปัญญา รวมถึงช่วยปรับความมั่นคงทางอารมณ์ให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้บลูเบอร์รียังช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมในหญิงสูงวัยได้ด้วย ทั้งยังช่วยเสริมระบบการประสานงานของระบบประสาทด้วย
4. ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน
สารแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รีมีประโยชน์ในการบำรุงประสิทธิภาพของการผลิตอินซูลิน รวมถึงบำรุงการทำงานของน้ำตาลกลูโคสในเลือด จึงสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้
5. รักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
การดื่มน้ำแครนเบอรี่ หรือน้ำบลูเบอรี อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษาอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
6. บำรุงผิวพรรณ
คุณผู้หญิงหลายคนคงทราบกันดีว่า บลูเบอร์รีเป็นหนึ่งในผลไม้ช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้ เพราะบลูเบอร์รีอุดมไปด้วยสารคอลลาเจนและวิตามินซีซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม ลดริ้วรอยแห่งวัย
นอกจากนี้วิตามินซีในบลูเบอร์รียังช่วยป้องกันผิวหนังจากปัญหามลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควัน และแสงแดดที่ทำให้ผิวเสียได้
7. บำรุงสุขภาพกระดูก
สารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินในบลูเบอร์รีไม่ว่าจะเป็นธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี และวิตามินเค ล้วนมีส่วนสำคัญในการบำรุงความแข็งแรงของกระดูก
โดยเฉพาะธาตุเหล็กและสังกะสี มีบทบาทสำคัญมากในการสร้างความแข็งแรงของกระดูก รวมถึงความยืดหยุ่นของข้อต่อต่างๆ
8. ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า บลูเบอร์รีถือเป็นอาหารรับประทานเล่นระหว่างวันได้ดี เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ทำให้อิ่มท้องได้นาน รวมถึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้ดี
ข้อควรระวังในการรับประทานบลูเบอร์รี่
1. อาจมีสารพิษตกค้าง
การเพาะปลูกบลูเบอร์รีในหลายพื้นที่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช สารควบคุมการเจริญเติบโต หรือสารพิษอื่นๆ ซึ่งอาจยังตกค้างอยู่ในผลไม้ได้
2. อาจก่อให้เกิดภาวะแพ้อาหาร
เช่นเดียวกับอาการแพ้อาหารชนิดอื่นๆ หากมีอาการแพ้ผลไม้โดยเฉพาะผลไม้ในตระกูลเบอร์รี ก็มีความเสี่ยงที่จะแพ้บลูเบอร์รีด้วย ดังนั้นผู้เป็นโรคภูมิแพ้อาหารจึงควรระมัดระวังการรับประทานบลูเบอร์รีให้ดี
หรือหากรับประทานบลูเบอร์รีแล้วมีอาการคันระคายเคืองผิว มีผื่นลมพิษขึ้น ปากบวม ลิ้นบวม หายใจลำบาก จามเรื้อรังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะนั่นคือสัญญาณของอาการแพ้อาหาร
3. อาจรับไฟเบอร์เกินขนาด
ไฟเบอร์ในบลูเบอร์รี่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็จริง แต่หากรับประทานมากเกินไป กระเพาะอาหารจะเกิดแก๊สจำนวนมาก อาจเกิดอาการตัวบวม เป็นตะคริวขึ้นได้
นอกจากนี้การรับไฟเบอร์เข้าร่างกายมากเกินไปยังอาจเข้าไปขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด เช่น ธาตุเหล็กสารอาหารแคลเซียม
หากไม่ทราบว่า ควรรับไฟเบอร์ในปริมาณเท่าไรจึงจะเหมาะสม อาจควรลองไปขอคำแนะนำจากแพทย์
4. ส่งผลกระทบต่อยาบางชนิด
บลูเบอร์รีอาจส่งผลกระทบต่อยาบางชนิด โดยเฉพาะยาเจือจางเลือด (Blood thinner) เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากวิตามินเคในบลูเบอร์รี ส่งผลให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ทำงานได้เท่าที่ควร
ผู้ที่รับประทานยาชนิดนี้ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับประทานบลูเบอร์รีก่อนว่า เหมาะสมและส่งผลกระทบต่อยาหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยต่อระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย
บลูเบอร์รีถือเป็นผลไม้รสอร่อยที่ให้ประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเลือกซื้อและรับประทานบลูเบอร์รีอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพในอนาคต