พุงยื่น พุงย้อย ใส่เสื้อผ้าไม่สวย ไม่สมส่วน รู้สึกเสียความมั่นใจ เป็นปัญหากวนใจของทั้งหญิงและชาย ซึ่งนอกจากการออกกำลังกายลดความอ้วนเฉพาะส่วนแล้ว อีกทางเลือกที่ได้ผลดีก็คือ การดูดไขมันหน้าท้อง นั่นเอง แต่หลายคนอาจกังวลต่ออีกว่า จะปลอดภัยหรือไม่ เจ็บแค่ไหน เห็นผลทันทีหรือไม่ ต้องดูแลอย่างไร HDmall.co.th จึงได้รวบรวมข้อมูลที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการดูดไขมันหน้าท้องมาฝากกัน
สารบัญ
- การดูดไขมันหน้าท้องคืออะไร?
- ดูดไขมันหน้าท้องมีกี่วิธี?
- ประโยชน์ของการดูดไขมันหน้าท้อง
- ข้อเสียของการดูดไขมันหน้าท้อง
- ดูดไขมันหน้าท้องเหมาะกับใคร?
- ดูดไขมันหน้าท้องไม่เหมาะกับใคร?
- การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันหน้าท้อง
- ขั้นตอนการดูดไขมันหน้าท้อง
- การดูแลตัวเองหลังดูดไขมันหน้าท้อง
- ผลข้างเคียงจากการดูดไขมันหน้าท้อง
- ดูดไขมันหน้าท้อง อันตรายไหม?
- ดูดไขมันหน้าท้องเจ็บไหม?
- ดูดไขมันหน้าท้องพักฟื้นนานไหม?
- ดูดไขมันหน้าท้องแล้วจะอ้วนอีกไหม?
การดูดไขมันหน้าท้องคืออะไร?
การดูดไขมันหน้าท้อง (Abdominal Liposuction) คือการกำจัดไขมันสะสมส่วนเกินใต้ชั้นผิวบริเวณหน้าท้องออก ด้วยเครื่องดูดไขมัน เป็นการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีหน้าท้องยื่น ย้อย หย่อนคล้อย หรือท้องลาย
โดยศัลยแพทย์จะประเมินและออกแบบหน้าท้องให้ตรงกับความต้องการของผู้รับการดูดไขมันหน้าท้อง เช่น ดูดไขมันเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ หรือเพื่อปรับให้หน้าท้องแบนเรียบ เป็นต้น
ดูดไขมันหน้าท้องมีกี่วิธี?
ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการดูดไขมันหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว ลดความเจ็บปวด ลดร่องรอยแผลให้ได้มากที่สุด ตลอดจนดูแลรักษาได้ง่ายขึ้น สำหรับวิธีหลักๆ ที่นิยมใช้ ได้แก่
- การดูดไขมันแบบเวเซอร์ (The Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance: VASER Liposuction) คือการดูดไขมันด้วยเการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์สลายไขมัน ก่อนจะดูดออกมา ทำให้รอยแผลเล็ก และไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น เซลล์ประสาทหรือหลอดเลือด ส่งผลให้ฟื้นตัวเร็ว แผลหายไว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูดไขมันปริมาณมาก โดยไม่ต้องพักนาน
- การดูดไขมันด้วยคลื่นไฟฟ้า (Body Tite) คือการใช้เทคนิคพลังงานคลื่นวิทยุร่วมกับคลื่นความร้อนเข้าไปละลายไขมันให้แตกตัว ซึ่งให้ผลลัพธ์ 2 อย่างคือการกำจัดไขมันและการยกกระชับผิวไปในตัว โดยสามารถกระชับผิวให้ได้สัดส่วน มากกว่าการกำจัดไขมันด้วยวิธีอื่น จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่พึ่งคลอด ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อย หรือผู้ที่มีไขมันสะสม
- การดูดไขมันด้วยพลังน้ำ (Water Jet หรือ Body Jet) คือเทคนิคการใช้พลังงานน้ำเข้าไปแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนังก่อนดูดไขมันออกมา ซึ่งเซลล์ไขมันที่ถูกดูดออกมานั้น สามารถนำไปเติมเต็มร่างกายส่วนอื่นที่ต้องการได้ เช่น หน้าอก สะโพก หรือร่องลึกบริเวณใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก นอกจากนี้ วิธีนี้จะมีความอ่อนโยนต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงมาก จึงแทบไม่ทิ้งร่องรอยและไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่โดยทั่วไปจะมีราคาสูงกว่าวิธีอื่น ดังนั้นหากไม่ต้องการนำไขมันไปเติมส่วนอื่นของร่างกาย ก็สามารถเลือกใช้วิธีอื่นได้
- การดูดไขมันแบบพาวเวอร์ (Power Assisted Liposuction: PAL) เป็นการดูดไขมันแบบใช้การสั่นสะเทือน คล้ายการดูดไขมันด้วยท่อแบบเก่า แต่ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยกว่า มีประสิทธิภาพในการแยกชั้นไขมันที่สะสมมานานจนเป็นพังผืดได้ดี สามารถสลายไขมันได้ในปริมาณมาก ซึ่งได้ผลดีกับบริเวณหน้าท้องและไขมันบริเวณรอบเอว ทั้งนี้การดูดไขมันด้วยวิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อครั้ง และต้องวางยาสลบ
ประโยชน์ของการดูดไขมันหน้าท้อง
- ได้ผลลัพธ์เป็นที่พอใจ โดยสามารถปรึกษาแพทย์ในการดูดไขมันพร้อมปรับหน้าท้องให้มีความสวยงามตามต้องการได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เช่น การดูดไขมันซิกแพค (Six Pack Liposuction) หรือ การดูดไขมันเซ็กซี่ไลน์ (Sexy Line Liposuction)
- ส่งเสริมบุคลิกและเพิ่มความมั่นใจ
- การดูดไขมันด้วยพลังน้ำ (Water Jet หรือ Body Jet) สามารถนำเซลล์ไขมันไปเติมเต็มในส่วนอื่นของร่างกายได้
ข้อเสียของการดูดไขมันหน้าท้อง
- มีอาการเจ็บ บวมช้ำ หลังดูดไขมันหน้าท้อง แต่ก็จะค่อยๆ หายไปในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะจุดคือหน้าท้อง แต่ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง หรือทำให้สุขภาพดีขึ้นโดยตรง ดังนั้นหากดูดไขมันแล้วไม่ดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีก็อาจทำให้กลับมาอ้วนได้
- อาจเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยวย่น ผิวเป็นคลื่น โดยส่วนมากเกิดจากแพทย์ที่ไม่ชำนาญ จึงต้องเลือกใช้บริการจากโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้ชำนาญ
ดูดไขมันหน้าท้องเหมาะกับใคร?
การดูดไขมันเป็นส่วนหนึ่งของการผ่าตัด ดังนั้น ผู้เข้ารับการดูดไขมันจึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อพิจารณาว่าเป็นผู้ที่มีความพร้อมและมีสุขภาพสมบูรณ์เพียงพอที่จะสามารถใช้บริการดูดไขมันหน้าท้องได้ และเป็นผู้ที่มีความต้องการต่างๆ ดังนี้
- ผู้ที่มีค่า BMI อยู่ระหว่าง 18-25 และต้องการลดเฉพาะส่วนหน้าท้อง
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขหน้าท้องที่ไม่สมส่วนทั้งจากพฤติกรรมและจากกรรมพันธุ์
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าท้องลาย เหี่ยวย่น หย่อนคล้อย จากการคลอดลูก
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อยหรือย้วยจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่ยังคงมีปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณเอวหรือหน้าท้อง แม้จะออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอและมีการบริหารร่างกายเฉพาะส่วนแล้วก็ตาม
- ผู้ที่มีหุ่นสมส่วนแล้ว แต่อยากเพิ่มความสวยงาม ต้องการลดหน้าท้องเพื่อความสวยงามยิ่งขึ้น สามารถทำการดูดไขมัน Six Pack หรือ Sexy Line ได้
- ผู้ที่ต้องการดูดไขมัน และสร้าง Six Pack หรือ Sexy Line ไปพร้อมกัน
ดูดไขมันหน้าท้องไม่เหมาะกับใคร?
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า การดูดไขมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผ่าตัด ผู้เข้ารับการดูดไขมันจึงจำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพปกติ โดยแพทย์จะไม่แนะนำให้ดูดไขมัน หากพิจารณาแล้วว่าไม่พร้อมหรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ดังนี้
- ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 25 เนื่องจากการดูดไขมันเฉพาะจุดไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ หากต้องการดูดไขมันหน้าท้อง ควรออกกําลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหาร ให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติก่อน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือ โรคหัวใจ เนื่องจากร่างกายอาจสร้างของเหลวมาทดแทนส่วนที่หายไปพร้อมไขมันไม่ทัน
- ผู้ที่มีระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ เนื่องจากอาจมีอาการช็อกระหว่างดูดไขมันได้
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะอาจมีโอกาสติดเชื้อจากเครื่องมือต่างๆ ได้ง่าย และเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้
- ผู้ที่มีปัญหาไขมันหน้าท้องที่เกิดจากไขมันช่องท้อง (Visceral Fat) เนื่องจากเป็นไขมันสะสมที่ติดอยู่กับอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะถูกอุปกรณ์ทำอันตรายต่ออวัยวะสำคัญได้ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแจ้งให้ทราบถึงประเภทของไขมัน
และสำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยา ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อให้แพทย์ประเมินได้ถูกต้อง และเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันหน้าท้อง
ควรมีการเตรียมตัวทั้งก่อนตัดสินใจดูดหน้าท้อง และเมื่อตัดสินใจนัดหมายดูดหน้าท้องแล้วดังนี้
- เลือกสถานที่ดูดไขมันที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจพิจารณาได้จากรีวิวต่างๆ
- เมื่อพบแพทย์ ควรแจ้งภาวะสุขภาพให้แพทย์ทราบทั้งหมด รวมถึงอาการแพ้ยา และยาที่ใช้เป็นประจำ เพื่อการประเมินที่ถูกต้อง และซักถามข้อสงสัยต่างๆ ให้ครบถ้วน
- งดรับประทานยาหรืออาหารเสริมตามที่แพทย์แนะนำ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป เช่น ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือ วิตามินบำรุงร่างกายต่างๆ เช่น น้ำมันปลา หรือน้ำมันตับปลา วิตามินซี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดยาชาเป็นพิษจากการที่ตับทำงานกำจัดยาชาได้ช้าลง
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการดูดไขมัน
- งดอาหารและน้ำก่อนการดูดไขมัน อย่างน้อย 6 ชั่วโมง กรณีใช้ยาสลบ
- ผู้หญิงควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมันในช่วงที่มีประจำเดือน
ขั้นตอนการดูดไขมันหน้าท้อง
หลังจากที่แพทย์ได้ประเมินและวางแผนการผ่าตัดอย่างเหมาะสมแล้ว จะเป็นขั้นตอนการดูดไขมัน ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
- การใส่ Tumescent
Tumescent คือสารน้ำที่จะช่วยให้การดูดไขมัน ให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น ใช้เวลาน้อยลง ทำให้เส้นเลือดหดตัว ลดการเสียเลือด ลดโอกาสบาดเจ็บของเส้นเลือดและเส้นประสาท ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ทั้งยังช่วยให้รู้สึกเจ็บน้อยลงอีกด้วย โดย Tumescent จะประกอบด้วย น้ำเกลือ เพื่อขยายช่องว่าง ยาชา เพื่อลดความเจ็บปวด Adrenaline เพื่อให้เส้นเลือดหดตัว และตัวยาที่จำเป็นอื่นๆ ซึ่งแตกต่างกันไปตามโรงพยาบาลหรือคลินิก - การสลายเซลล์ไขมัน
ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการใช้เครื่องดูดไขมันมาใช้ในการสลายเซลล์ไขมัน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสมประกอบกับความต้องการของผู้รับการดูดไขมัน เช่น ผู้ที่ต้องการเติมไขมันกับร่างกายส่วนอื่นร่วมด้วย หรือผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนานและเจ็บน้อยที่สุด แพทย์จะแนะนำ Body Jet หรือ Water Jet เพราะจะมีความอ่อนโยนต่อเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายมากที่สุด หรือหากผู้ที่ไม่ต้องการเติมไขมันในส่วนอื่นและต้องการกระชับสัดส่วน แพทย์มักแนะนำ Body Tite และในกรณีที่มีไขมันมาก เป็นพังผืด แพทย์มักแนะนำเครื่องดูดไขมันเวเซอร์ ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ทางร่างกายและความต้องการของผู้รับการดูดไขมันด้วย - การดูดไขมัน
หลังจากสลายไขมันเสร็จแล้ว ท่อดูดไขมัน จะทำการดูดไขมันออกมาในปริมาณที่เหมาะสมตามที่แพทย์ได้ประเมินและกำหนดไว้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจของผู้รับบริการดูดไขมันหน้าท้องมากที่สุด
การดูแลตัวเองหลังดูดไขมันหน้าท้อง
หลังการดูดไขมัน ผู้รับการดูดไขมันควรปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ และเพื่อให้ฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน แป้ง และน้ำตาล เพื่อไม่ให้เกิดไขมันสะสมอีก
- ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ เช็ดตัวแทนการอาบน้ำ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- เวลายืนหรือเดิน ให้โค้งตัวเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แผลตึง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้พยายามยืดตัวตรงเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปวดหลังหรือปวดเอว
- งดยกของหนัก งดออกกำลังกาย และยังไม่ควรเดินมาก ประมาณ 3 สัปดาห์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุรี่ประมาณ 3 สัปดาห์ เพราะอาจส่งผลให้เลือดคั่งได้
- งดยาและอาหารเสริมบางชนิดที่อาจส่งผลให้อาการชา อาการบวมหรือฟกช้ำ มีความรุนแรงขึ้น เช่น ยาลดการแข็งตัวของเลือด ยาแก้ปวด ยารักษาอาการซึมเศร้า วิตามินอี น้ำมันปลา ประมาณ 3 สัปดาห์ ทั้งนี้หากรับประทานยาหรืออาหารเสริมใดเป็นประจำ จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ตั้งแต่เริ่มปรึกษาครั้งแรก
- ใส่สเตย์หรือชุดกระชับสัดส่วนเพื่อพยุงและป้องกันไม่ให้กระทบกระเทือนแผลบริเวณที่ดูดไขมัน และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยต้องเลือกสเตย์ที่เหมาะสม ประมาณ 1-8 สัปดาห์ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- พบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจดูแผลและตัดไหม
- หลังจากที่ร่างกายกลับมาเป็นปกติและแผลหายสนิท ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อรักษารูปร่างให้ดี ไม่ให้ไขมันกลับมาอีก
ผลข้างเคียงจากการดูดไขมันหน้าท้อง
อาการที่อาจพบได้มีดังนี้
- อาการวิงเวียนศีรษะ อาจเกิดจากการสูญเสียน้ำในร่างกายขณะดูดไขมัน หรือเป็นผลข้างเคียงจากยาชา ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการดื่มน้ำให้มาก
- อาการปวดระบม เนื่องจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังถูกกระทบกระเทือนจากการดูดไขมัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และโดยทั่วไปจะหายภายในประมาณ 1 สัปดาห์
- อาการบวม อาจเกิดจากการบวมน้ำหรือบวมจากการอักเสบ โดยการดูดไขมันด้วยเครื่องพลังน้ำมีโอกาสพบได้มากว่าการดูดด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ โดยทั่วไปจะหายเป็นปกติภายใน 3-4 เดือน
- อาการฟกช้ำ จะค่อยๆ เลือนหายได้จนเป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องประคบ
ดูดไขมันหน้าท้อง อันตรายไหม?
การดูดไขมันเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการผ่าตัด ที่มีการใช้ยาชาหรือยาสลบร่วมด้วย ทำให้มีความเสี่ยงจะเกิด อาการชาทั่วร่างกาย เสียเลือดมาก ปอดบวมน้ำ หรือ ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ โดยภาวะเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่พร้อม หรือความผิดพลาดของแพทย์และบุคลากรที่ไม่ชำนาญ ดังนั้นการเลือกโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ชำนาญเฉพาะทาง รวมถึงการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นลงได้มาก จึงยังไม่ต้องกังวลจนเกินไป
ดูดไขมันหน้าท้องเจ็บไหม?
โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาชาในการลดความเจ็บปวดให้ผู้รับการดูดไขมัน เนื่องจากมีความปลอดภัยกว่าการใช้ยาสลบ
ในกรณีที่ฉีดยาชา จะรู้สึกเจ็บตอนฉีดยาชาก่อนการดูดไขมัน หลังจากนั้นในขั้นตอนการดูดไขมัน จะรู้สึกน้อยลงหรือแทบไม่รู้สึกอะไรเลย และเมื่อดูดไขมันไปจนถึงบริเวณที่ใกล้กับผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ ก็อาจรู้สึกเจ็บแปลบบ้างเป็นระยะ ทั้งนี้ ความชำนาญของแพทย์ ในเรื่องของความมือหนัก มือเบา และวิธีดูดไขมันที่ใช้ ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยให้เจ็บน้อยลง โดยเครื่องดูดไขมันแบบพลังงานน้ำจะมีความอ่อนโยน นุ่มนวล และเจ็บน้อยกว่าเครื่องดูดไขมันแบบอื่น
ในกรณีที่วางยาสลบ จะไม่มีความเจ็บปวดในขณะที่ดูดไขมันเลย แต่หลังจากดูดไขมันเสร็จ ก็จะมีอาการบวม ฟกช้ำ ซึ่งเป็นอาการปกติของผู้ที่ดูดไขมัน
ดูดไขมันหน้าท้องพักฟื้นนานไหม?
โดยทั่วไป หลังการดูดไขมันหน้าท้อง ร่างกายจะปรับสภาพกลับมาเป็นปกติได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยต้องดูแลร่างกายตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
ดูดไขมันหน้าท้องแล้วจะอ้วนอีกไหม?
การดูดไขมันหน้าท้อง เป็นการลดไขมันเฉพาะส่วนเท่านั้น หากไม่ดูแลร่างกายอย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสที่น้ำหนักและไขมันหน้าท้องจะกลับมาสะสมอีกได้ ดังนั้นหลังดูดไขมันหน้าท้องแล้ว จึงควรศึกษาเรื่องโภชนาการ รับประทานอาหารที่เหมาะสม พร้อมทั้งออกกำลังกายควบคู่กันไป เพื่อรักษาร่างกายให้กระชับและได้สัดส่วนอย่างยั่งยืน
การดูดไขมันหน้าท้อง เป็นทางลัดในการลดไขมันหน้าท้อง แต่ก็ต้องเลือกโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้ชำนาญ ตลอดจนศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์คุ้มค่ากับค่าบริการที่สุดนะคะ
ที่มาของข้อมูล
- Stephanie S. Gardner, MD, Liposuction: What You Should Know, (https://www.webmd.com/beauty/cosmetic-procedure-liposuction), August 8, 2020
- LIPOSUCTION TEXTBOOK, The Tumescent Technique By Jeffrey A. Klein MD, PART V: Tumescent Liposuction by Area Chapter 31: Abdomen,(https://liposuction101.com/liposuction-textbook/chapter-31-abdomen/)
- HOUSTON CENTER, 5 THINGS YOU NEED TO KNOW ABOUT STOMACH LIPOSUCTION, (https://www.houstonliposuction.com/blog/five-things-you-need-to-know-about-stomach-liposuction/).)