โรคซึมเศร้า (Depression) เป็นโรคที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ และพยายามอย่างหนักที่จะก้าวผ่านโรคทางจิตเวชชนิดนี้ไปให้ได้
อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายรายไม่สามารถก้าวผ่านโรคนี้ไปได้ เพราะเลือกจบชีวิตตนเองลงด้วยการฆ่าตัวตาย สาเหตุมักมาจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถเอาชนะอาการของโรคนี้ได้ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการคิดในแง่ลบ
รู้สึกว่า ตนเองไม่มีความสำคัญ ไม่ดีพอ ไม่เก่งพอจะยืนอยู่บนโลกใบนี้ และอยากตายเพื่อหยุดความคิดเหล่านี้ลง
ความจริงแล้วโรคซึมเศร้ามีวิธีรักษาให้หายได้ เพียงแต่สิ่งสำคัญคือ ผู้ป่วยจะต้องรู้ก่อนว่า ตนเองกำลังป่วยเป็นโรคนี้ เพื่อจะได้หาทางรักษาโรคซึมเศร้าได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ส่วนคนรอบข้าง คนใกล้ชิดต้องให้ความใส่ใจ คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลง อาการที่เกิดขึ้น และแนะนำให้ไปผู้ป่วยเข้ารับการตรวจวินิจฉัย เพราะหากป่วยด้วยโรคซึมเศร้าจะได้รักษาให้ทันท่วงที
สารบัญ
ความหมายของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า (Depression) คือ โรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะมีอาการเศร้าผิดปกติ รู้สึกไร้ค่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวลดลง การนอนหลับแย่ลง คิดอยากฆ่าตัวตายอยู่เกือบตลอดเวลา
โรคซึมเศร้ามีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองจนทำให้ภาวะอารมณ์เกิดความผิดปกติ เช่น สารเซโรโทนิน (Serotonin) สารนอร์อีพิเนฟริน (Norepinephrine) นอกจากนี้ยังเกิดได้จากความทรงจำ หรือพัฒนาการของจิตใจผู้ป่วย ที่เผชิญกับเหตุการณ์เลวร้าย หรือสะเทือนใจมาก่อน
ทำอย่างไร? หากสงสัยว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้า
หากสงสัยว่า ตนเองอาจมีอาการโรคซึมเศร้าก็เป็นได้ ควรไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยจะดีที่สุด เนื่องจากโรคนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมเท่านั้น ผู้ป่วยจึงจะมีอาการดีขึ้นและหายจากโรคได้
แต่หากไม่แน่ใจว่า อาการของตนเองเข้าข่ายโรคซึมเศร้าจริงหรือไม่ ไม่มีเวลา รู้สึกไม่มั่นใจในการไปพบจิตแพทย์ หรือด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ปัจจุบันหลายแห่งมีบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (วีดีโอคอล) หรือหากต้องการโทรศัพท์ปรึกษาแพทย์แบบไม่ต้องเห็นหน้า ก็มีให้บริการทำเช่นกัน
หรืออาจใช้บริการขั้นพื้นฐานอย่างคลินิกคลายเครียด สายด่วนสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต โทร 1323 บริการให้คำปรึกษาฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
วิธีรักษาโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าสามารถรักษาได้ด้วย 3 วิธีหลักๆ ได้แก่
1. การรักษาด้วยยา
บางอาการของโรคซึมเศร้าเป็นอาการที่ผู้ป่วยไม่สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง เช่น การคิดอยากฆ่าตัวตาย อารมณ์แปรปรวน อาการนอนไม่หลับ ผู้ป่วยจึงต้องอาศัยการรับประทานยาเข้ามาช่วยปรับสมดุลสารในร่างกายร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และความคิดของตนเอง
เมื่อจิตแพทย์วินิจฉัยว่า ผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แพทย์จะจ่ายยาได้แก่ ยาแก้ซึมเศร้า (antidepressants) ยาแก้ภาวะวิตกกังวล (antianxiety) ยาต้านอาการทางจิต (antipsychotics)
ประเภทของยารักษาโรคซึมเศร้าโดยหลักๆ จะมี 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ยารักษาโรคซึมเศร้าเอสเอสอาร์ไอ (Selective serotonin reuptake inhibitors: SSRIs) เป็นยารักษาโรคซึมเศร้าที่นิยมใช้มากที่สุด โดยยากลุ่มนี้จะเข้าไปปรับสมดุลผ่านการลดการหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมภาวะอารมณ์
ตัวอย่างยารักษาโรคซึมเศร้าเอสเอสอาร์ไอ ได้แก่
- ยาเซอร์ทราลีน (Sertraline)
- ยาฟลูออซิทีน (Fluoxetine)
- ยาไซตาโลแพรม (Citalopram)
- ยาเอสซิตาโพแกรม (Escitalopram)
- ยาฟลูวอกซามีน (Fluvoxamine)
ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่มนี้อาจส่งผลข้างเคียงบางอย่างขณะใช้ได้ เช่น คลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ หรือง่วงนอนในช่วงกลางวัน รู้สึกกระวนกระวาย มีอาการสั่น เกิดอารมณ์ทางเพศน้อยลง
2. ยารักษาโรคซึมเศร้าเอสเอ็นอาร์ไอ (Serotonin and norepinephrine reuptake inhibitors: SNRIs) เป็นยารักษาโรคซึมเศร้าผ่านการปรับสารเซโรโทนินและสารนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ซึ่งเป็นสารฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางจิต และมีบทบาทเกี่ยวกับความฝัน การตอบสนองต่อความเครียด
นอกจากนี้ยาโรคซึมเศร้าเอสเอ็นอาร์ไอยังสามารถรักษาอาการปวดเรื้อรังตามร่างกาย ซึ่งเป็นอีกต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหนักกว่าเดิมได้
ตัวอย่างยารักษาโรคซึมเศร้าเอสเอ็นอาร์ไอ ได้แก่
- ยาเดสเวนลาแฟ็กซีน (Desvenlafaxine)
- ยาดูล็อกซีทีน (Duloxetine)
- ยาเลโวมิลนาซิแพรน (Levomilnacipran)
ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโรคซึมเศร้าเอสเอ็นอาร์ไออาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนระหว่างวัน ปากแห้ง คลื่นไส้อาเจียน และท้องผูก
3. ยารักษาโรคซึมเศร้าไตรไซคลิก (Tricyclic antidepressants: TCAs) โดยปกติแพทย์จะสั่งจ่ายยากลุ่มนี้เมื่อยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่มเอสเอสอาร์ไอไม่ได้ผลเท่านั้น เช่น
- ยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline)
- ยาอะม็อกซาปีน (Amoxapine)
- ยาด็อกเซปิน (Doxepin)
- ยาอิมิพรามีน (Imipramine)
- ยาไตรมิพรามีน (Trimipramine)
ผลข้างเคียงจากใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าไตรไซคลิกอาจทำให้ผู้ใช้ความดันโลหิตต่ำ จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ เป็นลมชัก มีอาการอ่อนเพลีย ปากแห้ง และท้องผูก
2. การรักษาโดยการทำจิตบำบัด
นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว จิตแพทย์ยังอาจแนะนำให้รักษาโดยการทำจิตบำบัดซึ่งทำให้ผลการรักษาดีขึ้น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายรายเองก็ต้องการเข้ารับการรักษา หรือต้องการรับคำแนะนำในการรับมือกับอาการของโร และเข้าใจวิธีใช้ชีวิตร่วมกับโรคซึมเศร้าได้
นอกจากนี้ในระหว่างทำจิตบำบัด ทางจิตแพทย์ หรือนักจิตบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนระบบความคิดที่เป็นผลกระทบมาจากโรคซึมเศร้าให้เหมาะสมขึ้น เช่น
- การประเมินความสามารถของตนเองต่ำ คิดว่า ตนเองเป็นคนไม่เก่ง ไม่ดีพอกับใครเท่านั้น
- ความคิดว่า ความตายเป็นทางออกเดียวของปัญหาเท่านั้น
- ความวิตกกังวลเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างจนไม่มีสมาธิทำอย่างอื่น
- ความคิดแง่ลบต่อสิ่งรอบตัว
ตัวอย่างคำแนะนำที่ผู้ป่วยอาจได้รับเพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันระหว่างรักษาโรคซึมเศร้าด้วยตนเอง ได้แก่
- โรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายได้ ความรู้สึกไร้ค่า ไม่มีใครสนใจ หรือ เราคือ ผู้แบกรับความทุกข์ไว้ทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียวนั้นสามารถหายไปได้ และไม่มีทางที่ความรู้สึกนี้จะอยู่สร้างความทรมานให้เราได้ตลอดไป
- ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตประจำวันยากจนเกินไป และไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายให้เหมือนกับคนอื่นด้วย
โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องปล่อยให้สุขภาพจิตผ่อนคลาย ไม่เครียด หรือวิตกกังวล ความพยายามจะทำตามเป้าหมาย และกระตุ้นตนเองให้ทำบางสิ่งบางอย่างให้ได้มากเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยผิดหวังในตนเอง หากทำไม่ได้ดั่งที่คิด - หาเวลาทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ หรือชอบไปสถานที่ไหน ฟังเพลงอะไร ให้เลือกทำสิ่งนั้นมากกว่าฝืนในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ
- หากจำเป็นต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต เช่น การลาออกจากงาน การตัดสินใจเรียนต่อ การย้ายที่อยู่ การหย่าร้าง หรือเลิกรา แล้วยังรักษาโรคซึมเศร้าไม่หายดีพอ ควรเลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อน เพราะความคิดในระหว่างเป็นโรคซึมเศร้าอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่า ตนเองตัดสินใจผิดพลาด หรือหากต้องตัดสินใจในบางเรื่องจริงๆ ให้ปรึกษาจิตแพทย์ หรือปรึกษาผู้ใหญ่ คนใกล้ชิดที่ไว้ใจ และให้คำปรึกษาได้ดี
- ลำดับความสำคัญในการทำงาน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน เพื่อให้มีเป้าหมายในการทำงานในแต่ละวันอย่างชัดเจน รวมถึงสามารถแยกแยะปัญหาได้ว่า ควรจัดการแก้ไขปัญหาส่วนไหนก่อน หรือหลัง
- ลองเรียบเรียงข้อดีของตนเอง เพื่อให้ผู้ป่วยเห็นว่า ตนเองก็มีคุณค่า มีข้อดีที่น่าชื่นชม และมีจุดเด่นในตัวบางอย่างเช่นเดียวกับผู้อื่น
- เข้าใจความเป็นตนเองให้มากขึ้น และไม่จำเป็นต้องใส่ใจความคิดของผู้อื่นที่มีต่อตนเองมากขนาดนั้น ผู้ป่วยจะเข้าใจมากขึ้นด้วยว่า ปากเสียง และความคิดของคนรอบตัวไม่ได้มีอิทธิพล และไม่ได้ส่งผลให้ชีวิตผู้ป่วยแย่ลง หรือดีขึ้นได้ มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นสามารถทำให้ทุกความคิด ทุกการกระทำพัฒนาดีขึ้นได้อย่างที่ใจคิด
3. การรักษาโดยการดูแลตนเอง
นอกจากการรักษาผ่านการรับประทานยา การทำจิตบำบัด จิตแพทย์จะแนะนำการดูแลตนเองให้กับผู้ป่วยอย่างเหมาะสม เพื่อบรรเทาไม่ให้อาการของโรคส่งผลต่อระบบความคิด และการใช้ชีวิตประจำวันมากเกินไป เช่น
- ออกกำลังกาย หลายคนอาจไม่ชอบการออกกำลังกาย แต่กิจกรรมนี้มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยเบนความสนใจไปจากความเศร้า และหันไปมีสมาธิกับการออกกำลังแทน เพื่อให้รู้สึกสนุกไปกับการออกกำลังกาย และได้มีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้นด้วย
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากรู้สึกว่า ความคิดด้านลบ หรือความเศร้าน้อยลง ห้ามลดปริมาณยา หรือหยุดยาเองเด็ดขาด แต่ให้ไปปรึกษากับจิตแพทย์เกี่ยวกับอาการที่ดีขึ้นว่า ควรปรับยาอย่างไร เพราะการปรับยารักษาโรคซึมเศร้าเองมีส่วนทำให้คุณกลับไปเป็นโรคซึมเศร้าหนักกว่าเดิมได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการดื้อยา
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะอาหารที่มีประโยชน์ก็มีส่วนช่วยให้สารเคมีในสมอง รวมถึงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับภาวะอารมณ์ทำงานได้อย่างสมดุลด้วย
- งดดื่มสุราและหารใชสารดสพติด เพราะสุรานอกจากจะมีผลต่ออารมณ์ การใช้เหตุผลและการตัดสินใจแล้ว สุรายังไปลดสาร serotonin ในสมอง ส่งผลให้อาหารซึมเศร้ากำเริบได้อีกด้วย
- พักผ่อนให้เพียงพอ โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่สามารถนอนหลับได้ หรือนอนหลับไม่สนิท ซึ่งจะยิ่งทำให้อาการโรคซึมเศร้ารุนแรงมากขึ้น หากต้องพึ่งยานอนหลับให้ปรึกษากับทางจิตแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ คุณอาจมองหางานอดิเรกใหม่ๆ รวมถึงลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ออกกำลังกายแบบใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ไปลงเรียนคอร์สเรียนต่างๆ เพิ่มเติม การทำในสิ่งที่ไม่เคยทำจะทำให้คุณอาจมีแรงผลักดัน และรู้สึกสนุกไปกับสิ่งที่ไม่เคยลองก็ได้
- อยู่กับคนที่คิดบวก ในระหว่างปรับสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นปกติ ทางที่ดีคุณควรอยู่กับผู้ที่มีความคิดด้านบวก สามารถให้แรงบันดาล หรือปลอบใจ ให้แรงผลักดันดีๆ ในการใช้ชีวิต หรืออาจเป็นผู้ที่สามารถรับฟังปัญหาคุณได้ มากกว่าผู้ที่มีความคิดด้านลบ เอาแต่ต่อว่าคนอื่น หรือไม่เข้าใจความหมายของโรคซึมเศร้าจริงๆ
คำแนะนำเกี่ยวกับญาติผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
การมาพบจิตแพทย์ หรือนักจิตบำบัดอาจใช้เวลาเจอหน้าพูดคุยกันไม่กี่ชั่วโมงที่โรงพยาบาล ซึ่งก็จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นในเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่นอกเหนือจากเวลาเหล่านั้น ผู้ป่วยจะต้องเผชิญกับอาการโรคซึมเศร้าที่บ้าน หรือที่ทำงานเป็นเวลานานกว่าหลายเท่า
ดังนั้นคนในครอบครัว ญาติ หรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยจึงเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถข้ามผ่านโรคซึมเศร้าไปได้ ทำให้คนกลุ่มนี้ควรต้องทำความเข้าใจความหมายของโรค วิธีการรักษา และวิธีปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น เช่น
- เข้าใจว่า โรคซึมเศร้าไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจ และเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เป็นโรคที่เกิดจากการหลั่งสารเคมีที่ผิดปกติ
- รู้จักรับฟังสิ่งที่ผู้ป่วยรู้สึก หรือกำลังคิดในขณะนั้น โดยไม่ตัดสินความคิดเหล่านั้นว่า ถูก หรือผิด แต่เพียงเป็นผู้ฟังที่ดีก็เพียงพอแล้ว
- ไม่คาดหวัง หรือกดดันให้ผู้ป่วยต้องรักษาตนเองให้หายโดยเร็ว ควรพูดคุยกัน และปฏิบัติตนกับผู้ป่วยเหมือนคนปกติทั่วไป รวมถึงแสดงออกว่า พร้อมจะช่วยเหลือผู้ป่วยหากเกิดปัญหาใดขึ้น
- พูดจากับผู้ป่วยอย่างใจเย็น นุ่มนวล หลายคนมักเข้าใจผิดว่า การทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหายได้ต้องใช้คำพูดรุนแรง ตรงไปตรงมา ต้องตะคอก ใช้เสียงดัง หรืออาจต้องลงไม้ลงมือด้วย ซึ่งวิธีเหล่านี้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด และยังส่งผลเสียทำให้ผู้ป่วยอาการแย่ลงด้วย
- หมั่นย้ำให้ผู้ป่วยรับประทานยาตามหมอสั่งอยู่เสมอ อย่าให้ผู้ป่วยหยุดยาเอง
เราทุกคนควรเข้าใจถึงต้นตอของการเกิดโรค รวมถึงวิธีรักษาไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียโดยมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้า
เมื่อมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ในเบื้องต้นแล้ว แล้วพบว่า มีคนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คุณจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาโรคนี้ให้หาย และทำให้โลกของผู้ป่วยรายนั้นกลับมาเป็นโลกที่สวยงาม ปราศจากจากพลังด้านลบได้อีกครั้ง
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา