ยาแก้ปวดกับความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด Cardiovascular risk

ยาแก้ปวดกับความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular risk)

ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs: NSAIDs) ไม่ว่าจะเป็นยารุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ส่วนมากพบว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ ตัวยายังอาจส่งผลข้างเคียง หรืออาการแทรกซ้อนเพิ่มในกลุ่มผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้วด้วย ซึ่งผลข้างเคียงจากยาบางประเภทอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

สำหรับประเภทของยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น จะอยู่ที่ประเภทซึ่งแบ่งตามฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไซโคลออกซิจิเนส (Cyclooxygenase: COX) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยารุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ต่างก็เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดทั้งนั้น โดยจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ COX แบบไม่เจาะจง (Non-specific COX inhibitors หรือ Traditional NSAIDs หรือ Conventional NSAIDs)

  • ไดโคลฟีแนค (Diclofenac): มีข้อแนะนำว่า ไม่ควรใช้ยาในปริมาณสูง (150 มิลลิกรัมต่อวัน) เนื่องจากมีผลเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง และหัวใจวาย จึงไม่ควรใช้ยาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ผู้ที่เสี่ยงต่ออาการหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน รวมถึงผู้ที่ยังควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ แต่หากผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงจำเป็นจะต้องใช้ยาตัวนี้เป็นประจำทุกวัน ไม่ควรใช้ยาเกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน และควรอยู่ในการดูแลของแพทย์
  • ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen): การใช้ยาในปริมาณที่สูง (มากกว่าหรือเท่ากับ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันในหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ภาวะสมองขาดเลือด หรือภาวะความดันสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิต ดังนั้นผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาดังกล่าว โดยเฉพาะหากต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ COX-2 แบบเจาะจง (Specific COX-2 inhibitors หรือ COX-2 specific NSAIDs)

เช่น เซเลค็อกซิบ (Celecoxib) เมล็อกซิแคม (Meloxicam) พาเรค็อกซิบ (Parecoxib) เอทอริค็อกซิบ (Etoricoxib) และโรฟีค็อกซิบ (Rofecoxib)

ทั้งนี้ ความเสี่ยงในการใช้ยาประเภทดังกล่าวที่มีต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น จะแปรผันไปตามปริมาณการใช้ยาในผู้ป่วยแต่ละราย แต่ทางที่ดี ผู้ป่วยหรือผู้ที่อยูในกลุ่มเสี่ยงควรใช้ยาในปริมาณที่ต่ำที่สุดแต่ยังคงประสิทธิภาพในการรักษาไว้ได้ และควรใช้ยาในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยเช่นกัน หรือเพื่อความมั่นใจ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับประทานยาดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยาแก้ปวดและต้านการอักเสบตัวอื่นๆ หากคุณใช้ยาแล้วอาการป่วยไม่ดีขึ้น คุณควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและมีการปรับเปลี่ยนวิธีการรักษาให้เหมาะสมต่อไป และอีกสิ่งที่สำคัญคือ คุณไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนในร่างกายได้มากขึ้น ซึ่งในที่นี้ก็รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ยังต้องระมัดระวังการใช้ยาในคนไข้โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ โรคหอบหืด และในคนที่เลือดแข็งตัวช้า เพราะยาอาจไปทำให้ภาวะของโรคเหล่านี้เลวร้ายยิ่งขึ้น สำหรับสตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้ยาใดๆ ทั้งสิ้น ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากจำเป็นจะต้องใช้ยากลุ่มนี้ ให้ใช้ขนาดยาต่ำสุดที่จะให้ผลในการรักษา และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ควรหยุดใช้ยาหากไม่มีอาการ อ่านฉลากยาก่อนใช้ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร


ตรวจสอบความถูกต้องโดย ภกญ. สุภาดา ฟองอาภา

Scroll to Top