ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง Female Reproductive System

ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง Female Reproductive System

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกนี้ต่างต้องสืบพันธุ์ เพื่อรักษาสายพันธุ์ของตนเองให้ดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งระบบสืบพันธุ์ของร่างกายมนุษย์นั้นแตกต่างจากสัตว์ เพราะไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะการสืบพันธุ์เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่เท่านั้น แต่ระบบสืบพันธุ์ยังเป็นหนึ่งในระบบสำคัญที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและทำงานมีประสิทธิภาพด้วย

มีคำถามเกี่ยวกับ ระบบสืบพันธุ์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

กระบวนการสืบพันธุ์ของมนุษย์เกิดจากส่วนประกอบ 2  ส่วนของเซลล์เพศ หรือเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งได้แก่ เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย หรือตัวอสุจิ กับ เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง หรือไข่

กระบวนการสืบพันธุ์ของมนุษย์จะเกิดขึ้นในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง โดยไข่ซึ่งอยู่ในมดลูกของผู้หญิงจะต้องได้รับการปฏิสนธิโดยตัวอสุจิของเพศชายเพื่อให้เกิดตัวอ่อนและพัฒนาเป็นทารกต่อไป

ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงคืออะไร

สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดจะมี 2 เพศ คือ เพศหญิงและเพศชาย แต่ละเพศจะมีลักษณะเฉพาะของระบบสืบพันธุ์ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งโครงสร้างและรูปร่าง สำหรับเพศหญิงนั้นจะมีระบบสืบพันธุ์อยู่บริเวณกระดูกเชิงกรานซึ่งเป็นส่วนต่ำสุดของช่องท้อง มีส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้

  • ส่วนภายนอกของอวัยวะเพศเรียกว่า “แคมช่องคลอด”หรือ “ปากช่องคลอด” ซึ่งอยู่บริเวณระหว่างขา ทำหน้าที่ปิดและปกป้องช่องคลอดและอวัยวะสืบพันธุ์ภายในอื่นๆ
  • ส่วนเนินเนื้อบริเวณเหนือช่องคลอดขึ้นมา เรียกว่า “เนินหัวหน่าว” เป็นเนื้อที่มีลักษณะเป็นกลีบสองข้างใกล้กับปากช่องคลอด เรียกว่า “แคม” แบ่งเป็นแคมเล็ก และแคมใหญ่
  • ส่วน “คลิตอริส (Clitoris)” เป็นอวัยวะเล็กๆ ทำหน้าที่รับความรู้สึกจะอยู่บริเวณเหนือรูเปิดของท่อปัสสาวะและปากช่องคลอด ล้อมด้วยแคมเล็กสองข้าง เมื่อเนินหัวหน่าวและแคมเริ่มปกคลุมไปด้วยขน นั่นหมายความว่า เด็กสาวเข้าสู่วัยพร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์แล้ว

อวัยวะภายในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง   

อวัยวะสืบพันธุ์ภายในหลักๆ ของผู้หญิงจะประกอบไปด้วย

  • ช่องคลอด
  • มดลูก
  • ท่อนำไข่
  • รังไข่

ทำความรู้จักช่องคลอด

ช่องคลอดเป็นช่องยาวๆ ลึกลงไปจากปากช่องคลอดที่เห็นอยู่ระหว่างขา เป็นช่องทางสำหรับการคลอดลูกและการมีเพศสัมพันธ์ เวลามีเพศสัมพันธ์ อวัยวะเพศชายจะสามารถเข้าถึงได้แค่เพียงส่วนนี้ ไม่สามารถเข้าไปสู่มดลูกได้

ทำความรู้จักปากมดลูก

ช่องคลอดจะเชื่อมต่อกันกับมดลูก หรือครรภ์ผ่านปากมดลูก ซึ่งปากมดลูกมีผนังที่หนาและแข็งแรงมาก โดยรูเปิดปากมดลูกจะมีขนาดเล็กมาก อาจเล็กกว่าความกว้างของหลอดดูดด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผ้าอนามัยแบบสอดจึงไม่สามารถหลุดเข้าไปในร่างกายของเราได้

นอกจากนี้ในขณะคลอดลูกปากมดลูกยังสามารถขยายกว้างเพื่อให้ทารกผ่านออกมาได้

ทำความรู้จักมดลูก

มดลูกของหญิงสาวที่เติบโตโดยสมบูรณ์แล้วจะมีขนาดประมาณ 3-5 นิ้ว หรือ 8-12 เซนติเมตร มดลูกมีหน้าที่หลายอย่าง ทั้งช่วยให้อสุจิที่ผ่านเข้ามาจากอวัยวะเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ได้ เป็นทางออกของทารกในขณะทำคลอด และเป็นทางออกของประจำเดือน

บริเวณปากช่องคลอดนั้นมีเยื่อบางๆ อยู่ เรียกว่า “เยื่อพรหมจารี” หรือ “เยื่อพรหมจรรย์” ซึ่งเยื่อนี้จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ผู้หญิงส่วนมากจะรู้สึกได้ว่า “เยื่อพรหมจรรย์” ของตนมีการฉีกขาดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และจะพบว่า มีเลือดออกมาและมีอาการเจ็บเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เยื่อพรหมจรรย์อาจฉีกขาดได้จากกิจกรรมการใช้ชีวืตอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายบางประเภท โดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้

ทำความรู้จักผนังมดลูก

มดลูกมีรูปร่างคล้ายกับลูกแพร์คว่ำ มีผนังที่เคลือบไปด้วยเนื้อเยื่อและเมือกหนา เราเรียกผนังนี้ว่า “ผนังมดลูก” เป็นผนังที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถขยายและหดได้ ส่งผลให้เมื่อตั้งครรภ์ มดลูกจะสามารถโอบอุ้มทารกไว้ได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ผนังมดลูกยังสามารถบีบรัดให้สามารถคลอดทารกออกมาได้ และยังทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นให้มดลูกอยู่ตลอด

ผนังมดลูกยังเป็นที่อยู่ของ “เยื่อบุโพรงมดลูก” ซึ่งจะเป็นเนื้อเยื่อที่มีเลือดมาเลี้ยงมาก เมื่อไข่สุกหากมีการผสมกันระหว่างอสุจิกับไข่ ตัวอ่อนจะฝังตัวลงบริเวณนี้ แต่หากไม่มีการผสมกันระหว่างอสุจิและไข่ เยื่อมบุโพรงมดลูกก็จะสลายออกมาเป็น “ประจำเดือน” นั่นเอง

ทำความรู้จักท่อนำไข่และรังไข่

บริเวณมุมด้านบนของมดลูกทั้งสองข้างมีท่อเชื่อมต่อไปยังรังไข่ เรียกว่า “ท่อนำไข่” โดยรังไข่มีลักษณะเป็นรูปวงรี ทำหน้าที่ผลิต เก็บ และปล่อยไข่ออกมาผ่านท่อนำไข่ และเข้าสู่มดลูก เรียกกระบวนการนี้ว่า “การตกไข่”

รังไข่ของหญิงสาวที่เติบโตสมบูรณ์แล้วจะมีขนาดประมาณ 1.5-2 นิ้ว หรือประมาณ 4-5 เซนติเมตร ส่วนท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้างมีความยาวประมาณ 4 นิ้ว หรือ 10 เซนติเมตร มีความกว้างพอๆ กับเส้นสปาเก็ตตี้ ซึ่งขนาดของท่อจะกว้างพอที่จะให้เข็มสามารถลอดผ่านได้เท่านั้นเอง

ส่วนท้ายของท่อนำไข่มีพู่ลักษณะคล้ายกรวย พู่ดังกล่าวจะล้อมรอบรังไข่ไว้ แต่จะไม่ติดกับรังไข่ เมื่อมีไข่ 1 ฟองหลุดออกมาจากรังไข่ ไข่จะเดินทางผ่านท่อนำไข่ซึ่งภายในจะมีขนบางๆ ช่วยขับและดันไข่ไปยังมดลูกต่อไป

รังไข่ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบต่อมไร้ท่อด้วย เนื่องจากทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศหญิงสำคัญอย่าง “ฮอร์โมนเอสโตรเจน” และ “ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน

การทำงานของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง

ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงหน้าที่ดังต่อไปนี้

  • ทำหน้าที่ผลิตไข่
  • ทำหน้าที่เพื่อการสืบพันธุ์ (มีเพศสัมพันธ์)
  • ทำหน้าที่ปกป้อง และหล่อเลี้ยงไข่ที่ปฏิสนธิแล้วเพื่อให้สามารถพัฒนาต่อไปได้
  • ทำหน้าที่เพื่อคลอดทารก

การสืบพันธุ์จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีอวัยวะเพศที่เรียกว่า “อวัยวะสืบพันธุ์” แม้คนส่วนมากอาจเข้าใจว่า อวัยวะสืบพันธุ์นั้นหมายถึง “อัณฑะที่ผลิตอสุจิของผู้ชาย” เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ทั้ง 2 เพศต่างมีอวัยวะสืบพันธุ์

อวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิง คือ “รังไข่” ที่สามารถผลิตไข่ได้ ส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้ชายทำหน้าที่ผลิต “อสุจิ” และเมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิโดยอสุจิแล้วจะถูกเรียกว่า “ตัวอ่อน”

เมื่อเด็กทารกเพศหญิงคลอดออกมา รังไข่ในร่างกายของเด็กจะจัดเก็บไข่ไว้แล้วเป็นแสนๆ ฟอง แต่ไข่เหล่านี้จะยังไม่ทำงานจนกว่าเด็กจะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่อถึงเวลาดังกล่าว ต่อมใต้สมองที่อยู่ตรงส่วนกลางของสมองจะเริ่มสั่งให้มีการผลิตฮอร์โมนซึ่งกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนเพศ

การมีประจำเดือน

ช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ร่างกายของผู้หญิงะเริ่มผลิตไข่เป็นประจำทุกเดือน และเรียกว่า “รอบเดือน” ซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละครั้ง โดยช่วงที่มีการตกไข่ รังไข่จะปล่อยไข่ 1 ฟองออกมาผ่านท่อนำไข่เพื่อรอให้มีการปฏิสนธิกับตัวอสุจิ

หากไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิภายในท่อนำไข่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์แล้วตัวอสุจิจากฝ่ายชายไม่สามารถผ่านเข้ามาผสมกับไข่ได้ ไข่ก็จะแห้ง และถูกขับออกจากร่างกายกลายเป็นประจำเดือนประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากนั้น

ประจำเดือนเกิดจากเลือดและเนื้อเยื่อที่เกาะอยู่ตามผนังมดลูกหลุดลอกออกมาเมื่อไข่ไม่มีการปฏิสนธิ ซึ่งรอบเดือนนั้นจะเกิดขึ้นประมาณ 3-5 วัน และเด็กผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกเรียกว่า “การเริ่มแรกมีระดู”

มีคำถามเกี่ยวกับ ระบบสืบพันธุ์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

เป็นเรื่องปกติที่ก่อนมีประจำเดือนอาจทำให้สาวๆ รู้สึกไม่สบายตัว หรือมีอาการทางจิตใจผิดแปลกไป อาการนี้ว่า “PMS” (Premenstrual Syndrome) ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เช่น

  • เป็นสิว
  • ท้องอืดท้องเฟ้อ
  • เมื่อยล้า
  • ปวดหลัง
  • ปวดคัดเต้านม
  • ปวดศีรษะ
  • ท้องผูก
  • ท้องเสีย
  • เจริญอาหาร
  • ซึมเศร้า
  • หงุดหงิด
  • ไม่มีสมาธิ
  • เกิดภาวะเครียด

อาการ PMS จะเกิดขึ้นพีคสุดประมาณ 7 วันก่อนการมีประจำเดือน และเมื่อประจำดือนมาแล้วอาการดังกล่าวจะหายไป

ผู้หญิงหลายคนยังมีอาการปวดเกร็งท้องน้อยร่วมด้วยในช่วง 1-2 วันเรกของการมีประจำเดือน โดยมีสาเหตุมาจากสารเคมีที่เรียกว่า “โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin)” อาการปวดจะมีลักษณะปวดตื้อๆ แน่นๆ หรือปวดแปลบ และอาจปวดรุนแรงได้

ทั้งนี้อาจต้องใช้เวลาถึง 2 ปี นับจากการเริ่มแรกมีระดู กว่าที่ร่างกายจะเริ่มปรับให้รอบเดือนมาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอได้ ซึ่งร่างกายต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับฮอร์โมนที่เกิดขึ้นช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์

โดยปกติแล้วในหญิงวัยผู้ใหญ่จะมีรอบเดือนทุกๆ 28 วัน อย่างไรก็ตาม รอบเดือนอาจปรับเปลี่ยนได้ระหว่าง 23-35 วัน ส่วนความยาวนานของการมีประจำเดือนในแต่ละครั้ง จะยาวนานประมาณ 3-7 วัน

การปฏิสนธิ และการตั้งครรภ์

หากชายและหญิงมีเพศสัมพันธ์กันในช่วงที่ฝ่ายหญิงอยู่ในช่วงไข่ตก โอกาสที่ไข่จะได้รับการปฏิสนธิจะสูงมาก เมื่อฝ่ายชายมีการหลั่งอสุจิ อสุจิจำนวนกว่า 75 – 900 ล้านตัวจะถูกปล่อยเข้าสู่ช่องคลอด และเดินทางอย่างรวดเร็วผ่านช่องคลอด ปากมดลูก และเข้าถึงมดลูกเพื่อปฏิสนธิกับไข่

แต่จะมีเพียงอสุจิตัวเดียวเท่านั้นที่จะสามารถปฏิสนธิกับไข่ได้ และหลังจากผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากอสุจิปฏิสนธิกับไข่แล้ว ไข่จะพัฒนากลายเป็นตัวอ่อนที่มีขนาดประมาณหัวเข็มหมุด มีลักษณะเป็นเซลล์กลมๆ ที่มีของเหลวภายใน

ตัวอ่อนจะฝังตัวอยู่ในเยื่อบุโพรงมดลูกบริเวณผนังมดลูก โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเป็นตัวกระตุ้นให้มีการสร้างเยื่อบุหนาขึ้น และสมบูรณ์ด้วยเลือด

ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตออกมาโดยรังไข่ จะกระตุ้นให้เยื่อบุหนาตัวขึ้นเพื่อให้เซลล์ตัวอ่อนสามารถฝังตัวและรับสารอาหารได้ กระบวนการนี้เรียกว่า “การฝังตัวของเซลล์ตัวอ่อน”

หลังจากเซลล์ตัวอ่อนได้รับการหล่อเลี้ยงจากร่างกายของมารดาแล้ว จึงเกิดการพัฒนาเซลล์เป็นระยะเริ่มแรกของการเป็นตัวอ่อน โดยเซลล์ภายในตัวอ่อนนั้นมีรูปร่างกลมแบน เรียกว่า “แผ่นของเซลล์ตัวอ่อน” ซึ่งจะพัฒนากลายเป็นทารกต่อไป

ส่วนภายนอกเซลล์ตัวอ่อนจะเริ่มมีเยื่อบางๆ ห่อหุ้มทารกเอาไว้ตลอดการตั้งครรภ์ และเซลล์จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วหลายพันเท่าตัวจนกลายเป็นตัวอ่อนทารก

พัฒนาการของตัวอ่อน

เมื่อผ่านไปประมาณ 8 สัปดาห์ ตัวอ่อนดังกล่าวจะมีขนาดโตขึ้นประมาณหัวแม่โป้งของผู้ใหญ่ และเริ่มมีอวัยวะเกือบครบสมบูรณ์ เช่น สมอง ระบบประสาท หัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด กระเพาะ อวัยวะภายใน กล้ามเนื้อ และผิวหนัง

ช่วงที่ตัวอ่อนสามารถเริ่มว่าเป็น “ทารก” ได้นั้น จะเริ่มขึ้นที่ 9 สัปดาห์หลังจากปฏิสนธิไปจนถึงคลอด ทารกจะมีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยทารกจะลอยตัวภายในถุงน้ำคร่ำ รับออกซิเจน และสารอาหารจากแม่ผ่านรก และเชื่อมต่อกับตัวทารกด้วยสายสะดือ

ส่วนน้ำคร่ำและเยื่อบุนั้น จะทำหน้าที่ปกป้องทารกในครรภ์ให้ปลอดภัยจากการเคลื่อนไหวร่างกายของแม่

การตั้งครรภ์จะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 280 วัน หรือประมาณ 9 เดือน เมื่อทารกพร้อมสำหรับการคลอดแล้ว หัวของทารกจะกลับและลดลงสู่ปากมดลูก

ปากมดลูกจะเริ่มอ่อนตัวและยืดขยายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทารกที่จะคลอดผ่านออกไป

นอกจากนี้เมือกที่ถูกสร้างขึ้นมาบริเวณปากมดลูกจะทำหน้าที่เป็นเหมือนสวิตช์ที่ปิด และป้องกันไม่ให้น้ำคร่ำไหลออกมา แต่หากมีน้ำคร่ำไหลออกมานั่นหมายความว่า คุณแม่พร้อมที่จะคลอดทารกแล้ว หรือเรียกภาวะนี้ว่า “น้ำเดิน” นั่นเอง

กระบวนการคลอดทารกและคลอดรก

เมื่ออาการเจ็บคลอดเริ่มขึ้น ผนังมดลูกจะมีการบีบรัดตัวซึ่งอาการเช่นนี้เกิดจากการกระตุ้นโดยฮอร์โมนออกซิโทซิน ส่งผลให้ปากมดลูกขยายและเปิดกว้าง

จากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมง เมื่อปากมดลูกเปิดมากพอที่จะสามารถให้ทารกออกมาได้แล้ว ทารกจะถูกเบ่งออกมาจากมดลูกผ่านปากมดลูก และออกมาทางช่องคลอดในที่สุด

โดยปกติแล้วหัวของทารกจะต้องเป็นส่วนที่ออกมาก่อนแล้วจึงตามมาด้วยตัวที่ออกมาพร้อมสายสะดือ จากนั้นสายสะดือจะถูกตัดเมื่อทารกคลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว

ระยะสุดท้ายของกระบวนการคลอดคือ การคลอดรก ซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังจากการคลอดทารกแล้วเสร็จ เมื่อรกหลุดจากผนังมดลูกแล้ว ผนังมดลูกจะบีบตัวขับรกออกมาพร้อมกับเยื่อหุ้มและน้ำคร่ำ

คุณจะเห็นได้ถึงความซับซ้อน และความมหัศจรรย์ของร่างกายผู้หญิงที่สามารถโอบอุ้มร่างกายของอีกหนึ่งชีวิตเอาไว้ได้ ทั้งยังสามารถส่งต่ออากาศและอาหารเข้าถึงกันได้อีก

ทั้งนี้เพื่อให้ระบบสืบพันธุ์ของผ้หญิงทำงานได้อย่างปกติ และจะได้สามารถวางแผนมีบุตรได้โดยไม่ต้องกังวลถึงปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ

ผู้หญิงทุกคนจึงจำเป็นต้องดูแลตนเองให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ตรวจสุขภาพเป้นประจำ ตรวจภายในตามกำหนดของวัยเพื่อให้ระบบสืบพันธุ์แข็งแรงห่างไกลโรค


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. รุจิรา เทียบเทียม

มีคำถามเกี่ยวกับ ระบบสืบพันธุ์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ