อีกหนึ่งปัญหายอดฮิตที่คอยกวนใจคู่ชาย–หญิงเป็นประจำ คงจะหนีไม่พ้นคำถาม “หลั่งนอก มีสิทธิ์ท้องหรือเปล่า”
หลาย ๆ คนอาจเข้าใจว่า อสุจิจะออกมาในตอนที่ถึงจุดสุดยอดเท่านั้น ถ้ารีบดึงอวัยวะเพศออกมาก่อน หรือที่เรียกหลั่งนอก ก็คงหายห่วงเรื่องท้องไปได้
แต่ความเป็นจริงแล้ว อสุจิไม่ได้ออกมาแค่ตอนถึงจุดสุดยอดอย่างเดียว และการหลั่งนอกก็ไม่ใช่วิธีคุมกำเนิดที่ถูกต้อง นั่นเป็นเพราะอะไร HDBlog จะพาไปหาคำตอบในบทความนี้กัน
หลั่งนอก คืออะไร
คู่ชาย–หญิงหลาย ๆ คู่มักเลือกใช้วิธีหลั่งนอก อาจจะด้วยความอาย ไม่กล้าซื้อถุงยางอนามัย หรือกลัวว่าใช้ถุงยางอนามัยแล้วอรรถรสในการมีเพศสัมพันธ์จะลดลงไป
ดังนั้น การหลั่งนอก ก็คือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย พอเมื่อใกล้จะถึงจุดสุดยอด ฝ่ายชายจะถอนอวัยวะเพศออกมาหลั่ง (หรือเสร็จ) ข้างนอก
วิธีนี้จะดูเหมือนปลอดภัย เพราะอสุจิไม่ได้สัมผัสกับไข่โดยตรง การปฏิสนธิก็ไม่เกิด แต่จริง ๆ แล้ว ถ้ามีการสอดใส่ ไม่ว่าจะหลั่งในหรือหลั่งนอก ก็มีโอกาสตั้งท้องได้ทั้งนั้น
ทำไมหลั่งนอกก็ยังท้องได้
หลายคนเชื่อว่า หลั่งนอกก็ไม่ท้องแล้ว เพราะถอนอวัยวะเพศชายออกมาทันก่อนอสุจิจะผสมกับไข่ แต่อันที่จริง ถึงหลั่งนอกก็ท้องได้อยู่ดี เป็นเพราะอะไร ไปดูกัน
คำตอบง่าย ๆ คือ ระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์กัน ยังไงก็มีอสุจิหลั่งออกมาอยู่ดี แค่ปริมาณไม่มากเท่าตอนถึงจุดสุดยอดเท่านั้นเอง ทำให้ ไม่ว่าจะหลั่งนอกหรือหลั่งใน ผู้หญิงก็เสี่ยงท้องได้
ลองมาดูข้อเท็จจริงอื่น ๆ ของอสุจิ เช่น
- ในช่วงเล้าโลม อวัยวะเพศฝ่ายชายจะมีน้ำเมือกหรือน้ำหล่อลื่นออกมาด้วย หลายคนคิดว่าเป็นแค่น้ำหล่อลื่นธรรมดา แต่จริง ๆ แล้ว น้ำหล่อลื่นที่ว่านี้ มีอสุจิอยู่ราว ๆ 30 ล้านตัวเลยทีเดียว
- ถ้าหลั่งนอกใกล้ช่องคลอดมากเกินไป อสุจิก็ยังว่ายเข้าไปในช่องคลอด และผสมกับไข่ได้อยู่ดี เพราะฝ่ายหญิงเองก็มีน้ำหล่อลื่นที่เป็นตัวช่วยให้อสุจิเคลื่อนไหวได้เช่นกัน
- ถ้ามีเพศสัมพันธ์ติดต่อกันด้วยระยะเวลาที่ไม่ห่างกันมาก โอกาสตั้งท้องก็จะยิ่งมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แม้จะมั่นใจว่าทำความสะอาดอวัยวะเพศดีแล้วก็ตาม
- ถ้าฝ่ายชายถอนอวัยวะเพศออกจากช่องคลอดไม่ทัน ก็มีโอกาสที่อสุจิจะว่ายเข้าไปผสมกับไข่ได้อยู่ดี
อ่านกันมาถึงตรงนี้ ก็คงจะพอเข้าใจกันแล้วว่า การหลั่งนอกมีโอกาสสูงที่ทำให้ตั้งท้องได้ และไม่ใช่วิธีการคุมกำเนิดที่ได้ผลดี ใครที่ไม่พร้อมจะมีลูกจริง ๆ การสวมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ
นอกจากจะป้องกันการตั้งท้องได้แล้ว ถุงยางอนามัยยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ทั้งโรคเอดส์ โรคหนองใน โรคเริมที่อวัยวะเพศ โรคหิด หรือโรคหูดหงอนไก่
ยิ่งโรคทางเพศสัมพันธ์บางโรค พอติดแล้วไม่รีบรักษาให้ถูกวิธี โรคอาจลุกลามร้ายแรง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ปัจจุบันมีถุงยางอนามัยในคุณภาพดี สามารถเลือกความหนาบางได้ตามต้องการ การใช้ถุงยางอนามัยเลยไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสในการมีเพศสัมพันธ์ไปเลยซะทีเดียว
นอกจากนี้ การซื้อถุงยางอนามัยก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด เพราะ Safe sex หรือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักไว้อยู่เสมอ
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี