การมองเห็นที่ชัดเจนไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความสะดวกสบาย แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมอย่างลึกซึ้ง ในยุคที่เทคโนโลยีการแพทย์ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง “การทำเลสิก” ได้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตาสั้น สายตาเอียง หรือไม่อยากพึ่งพาแว่นและคอนแทคเลนส์อีกต่อไป แต่การจะตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดดวงตาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกายนั้น ก็จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและการดูแลจากแพทย์ผู้ชำนาญการโดยตรง
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ รศ. นพ.อัมพร จงเสรีจิตต์ (ว.14220) จักษุแพทย์เฉพาะทางสาขาจอประสาทตา-เลสิก ที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี รวมถึงพูดคุยถึงข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำเลสิก ตั้งแต่การประเมินก่อนการผ่าตัด ไปจนถึงแง่มุมที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
สารบัญ
- ทำความรู้จักคุณหมออัมพร จงเสรีจิตต์
- คนไข้มารักษากับคุณหมอด้วยอาการอะไรมากที่สุด
- เคสที่คุณหมอประทับใจ
- ข้อที่คุณหมอระวังเป็นพิเศษในการทำเลสิก
- ถ้ามีความกลัวเหล่านี้ทำเลสิกได้ไหม?
- สายตาสั้นกับสายตาเอียงภาพที่เห็นจะต่างกันยังไง
- ทำไมอายุถึงมีผลกับการทำเลสิก บางคนบอกต้องทำก่อน 30 ถึงจะดีที่สุดจริงมั้ย?
- ไปทำเลสิกคนเดียวได้มั้ย?
ทำความรู้จักคุณหมออัมพร จงเสรีจิตต์
ผม รศ. นพ.อัมพร จงเสรีจิตต์ (ว.14220) หรือที่คนไข้หลายคนเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า “หมออัมพร” เป็นจักษุแพทย์เฉพาะทางสาขาจอประสาทตา-เลสิก ปัจจุบันผมทำงานในวิชาชีพนี้มาครบ 30 ปี และมีประสบการณ์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดเลสิกและการแก้ไขสายตามาแล้วกว่า 25 ปี
จุดเริ่มต้นของการเดินทางสายแพทย์ของผมมาจากการได้เห็นผู้สูงอายุจำนวนมากประสบกับปัญหาทางสายตา ไม่ว่าจะเป็นต้อหินหรือต้อกระจก ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในวัยที่ควรได้รับความสะดวกสบาย การมองเห็นที่เลือนรางทำให้กิจวัตรประจำวันกลายเป็นเรื่องยาก การได้เห็นแววตาของผู้ป่วยที่กลับมามองเห็นได้ชัดอีกครั้งหลังจากการรักษา เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนผมเสมอว่า การเป็นจักษุแพทย์ไม่ใช่แค่การดูแลดวงตา แต่คือการช่วยมอบ “ชีวิตใหม่” ให้ผู้คน
เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีทางการแพทย์ก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเห็นโอกาสที่จะนำความก้าวหน้าเหล่านี้มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการผ่าตัดเลสิก ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขสายตาที่มีความแม่นยำ ปลอดภัย และช่วยให้คนไข้จำนวนมากกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไปครับ
สิ่งที่ทำให้ผมยังคงมุ่งมั่นในเส้นทางนี้ต่อไป คือคำขอบคุณจากคนไข้หลังการรักษา บางคนเข้ามาบอกผมว่า “หมอครับ ผมกลับมามองเห็นกับข้าวตรงหน้าได้ชัดอีกครั้ง” หรือ “รู้สึกเหมือนได้ชีวิตคืนมา” แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คำพูดเหล่านี้เองครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่าและอยากทำการผ่าตัดต่อๆ ไป
คนไข้มารักษากับคุณหมอด้วยอาการอะไรมากที่สุด
กลุ่มคนไข้ที่มารับการรักษากับผมมากที่สุดในด้านการผ่าตัดแก้ไขสายตา มักเป็นกลุ่มที่มีปัญหาจากการใช้คอนแทคเลนส์ในระยะยาวครับ
หลายคนใส่คอนแทคเลนส์มาเป็นเวลานานจนเกิดอาการ ตาแห้งเรื้อรัง ตาอักเสบ หรือติดเชื้อ จนไม่สามารถใส่คอนแทคเลนส์ต่อไปได้ตามปกติ ทำให้ต้องมองหาทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกว่า ซึ่งการผ่าตัดเลสิกก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนไข้ที่มีความจำเป็นต้องใช้สายตาในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น กำลังเปลี่ยนสายอาชีพ หรือเข้าสู่งานที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้การสวมแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์กลายเป็นข้อจำกัด เช่น นักบิน ทหาร หรืออาชีพที่ต้องใช้ความคล่องตัวสูง
มีคนไข้เคสหนึ่งที่ผมจดจำได้ดี เขาเล่าให้ฟังว่า ขณะขับรถอยู่วันหนึ่งเกิดเหตุให้ต้องเบรกกะทันหันจนแว่นตาหลุดตกลงไปบนพื้น เท้าก็เผลอเหยียบแว่นจนแตก แต่ก็ยังจำเป็นต้องขับรถต่อ แม้จะมองเห็นไม่ชัด ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเลสิก เพื่อไม่ต้องพึ่งแว่นตาอีกต่อไป และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยมากขึ้น
เหตุผลของคนไข้แต่ละคนอาจต่างกัน แต่ปลายทางเดียวกันคือ การได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสะดวกและมีอิสระมากขึ้นครับ
เคสที่คุณหมอประทับใจ
เคสที่ผมประทับใจที่สุดเป็นเคสในช่วงแรก ๆ ที่ผมเริ่มทำเลสิกเลยครับ น่าจะประมาณ 20 ปีก่อน คนไข้ในตอนนั้นเป็นวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่งที่มี สายตาสั้นประมาณ -6.00 D ร่วมกับสายตาเอียงเล็กน้อย ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเขาอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬา การใส่แว่นตาทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก จนมักจะแพ้เพื่อน ๆ อยู่เสมอ
หลังจากทำเลสิกเรียบร้อย เมื่อถึงวันนัดหมายเขากลับมาบอกผมว่า เขาเหมือนได้โลกใหม่ เขาเล่าว่าการมองเห็นที่ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งแว่น ทำให้เขาทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
เคสนี้เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมั่นใจว่า การทำเลสิกไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาสายตา แต่คือการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนไข้ไปอย่างแท้จริงครับ
ข้อที่คุณหมอระวังเป็นพิเศษในการทำเลสิก
ถ้าให้เปรียบเทียบความสำคัญในระหว่างก่อนทำ ขณะทำ หรือหลังทำเลสิก สำหรับผม ก่อนทำเลสิกเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดครับ เพราะเป็นขั้นตอนในการประเมินว่าคนไข้มีปัญหาสายตาอย่างไรและสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีที่คนไข้สนใจหรือไม่ ในขั้นตอนนี้โดยทั่วไปแล้วมักจะตรวจวัดค่าสายตา ค่าความหนาของกระจกตา และโรคทางตาต่างๆ ครับ
นอกจากการตรวจร่างกายแล้ว สิ่งที่ผมให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือการพูดคุยกับคนไข้อย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจความต้องการ ความคาดหวัง และความกังวลของแต่ละคน เพราะจริง ๆ แล้ว เลสิกเป็นเพียงหนึ่งในหลายทางเลือกของการแก้ไขสายตา ไม่ใช่คำตอบที่เหมาะกับทุกคนเสมอไป
หากหลังจากประเมินแล้วพบว่าความต้องการของคนไข้น่าจะเหมาะกับวิธีอื่นมากกว่า ผมก็จะแนะนำอย่างตรงไปตรงมาตามข้อมูลทางการแพทย์ครับ
นอกจากนี้แล้วในขั้นตอนการผ่าตัดผมจะให้ความสำคัญกับภาวะแทรกซ้อนเป็นสำคัญครับ ถึงแม้ว่าปัจจุบันเลเซอร์จะมีความแม่นยำในการผ่าตัด แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งที่ผมจะทำคือการเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงนั้น เพราะผมและคนไข้เองก็ต่างไม่มีใครที่อยากจะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นครับ
ถ้ามีความกลัวเหล่านี้ทำเลสิกได้ไหม?
กลัวเจ็บ
การทำเลสิกไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดครับ เพราะก่อนผ่าตัดและระหว่างผ่าตัด จะมีการหยอดยาชา เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บระหว่างการผ่าตัด ในคนไข้กลุ่มนี้ถ้ากังวลมากๆ สามารถแจ้งแพทย์ได้นะครับ เพราะทั้งแพทย์ ผู้ช่วย และพยาบาลจะประสานงานกันให้เพื่อย่นเวลาในให้สั้นลง การผ่าตัดจะได้สามารถลุล่วงได้ในเวลาอันสั้นครับ
กลัวตาบอด
เป็นปัญหาที่หลายๆ คนกลัวกันมาก ซึ่งจริงๆ สามารถเกิดขึ้นได้ครับ แต่เกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาบอดไม่ใช้ขั้นตอนระหว่างการผ่าตัด แต่เป็นการดูแลรักษาหลังการผ่าตัดที่ทำให้ตาอักเสบและติดเชื้อ
แต่ตั้งแต่ผมเคยผ่าตัดแก้ไขสายตามา ยังไม่เคยเจอคนไข้คนไหนที่มีปัญหาถึงขั้นตาบอดครับ เพราะการผ่าตัดเลสิกเป็นการผ่าตัดที่สะอาด แม่นยำ และใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยมาก ทำให้โอกาสน้อยมาก จนเกือบจะเป็น 0 เปอร์เซ็นต์เลยครับ
กลัวแสงฟุ้ง
การเกิดแสงฟุ้งหรือแสงกระจายในตอนกลางคืนสามารถเกิดได้ในคนไข้ที่มีค่าสายตาสั้นเกิน -6.00 D ซึ่งผมก็จะแจ้งก่อนและแนะนำวิธีที่เหมาะสมให้ครับ เช่น ReLEx CLEAR การใส่เลนส์เสริม โดยเฉพาะการใส่เลนส์เสริม จะเป็นวิธีที่แนะนำที่สุดในผู้ที่มีค่าสายตาสั้นมากๆ และมีความกังวลเรื่องแสงฟุ้งครับ
กลัวตาแห้ง
หลังทำเลสิกอาจทำให้คนไข้เกิดอาการตาแห้งเพิ่มขึ้น 5-10 เปอร์เซ็นต์ครับ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดด้วยใบมีดหรือการผ่าตัดแบบไร้ใบมีด โดยจะขึ้นอยู่กับค่าสายตาเป็นหลักครับ ยิ่งค่าสายตามาก การผ่าตัดจะต้องมีการแก้ไขความโค้งกระจกตามาก ทำให้เกิดโอกาสที่จะเกิดตาแห้งได้มากไปด้วยครับ
อย่างไรก็ตามถ้ากังวลเรื่องตาแห้ง อาจเลือกแก้ไขปัญหาสายตาด้วยวิธีการ TRANS PRK และ ReLEx CLEAR เพราะสองวิธีนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการตาแห้งครับ
กลัวค่าสายตากลับ
การผ่าตัดแก้ไขสายตาทุกวิธีเป็นการผ่าตัดถาวร หลังผ่าตัดแล้วจะไม่ทำให้สายตากลับมาสั้นเหมือนเดิม แต่อาจพบเคสที่มีค่าสายตากลับได้บ้าง โดยคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ที่มีค่าสายตาสั้นเกิน -6.00 D และค่าสายตาไม่คงที่แม้จะมีอายุเกิน 20 ปีแล้ว โดยคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสที่ค่าสายตากลับหรือกลับมาสายตาสั้นได้ แต่มักเกิดขึ้น 10 ปีหลังการผ่าตัด โดยอาจสั้นตาสั้นเพียง -0.50 ถึง -1.00 D
แต่ในกลุ่มคนไข้ที่มีค่าสายตาคงที่ก่อนทำเลสิก หลังทำจะไม่ทำให้สายตากลับมาเพิ่มแล้วครับ
กลัวทำเลสิกไม่ได้
ดวงตาไม่สามารถทำเลสิกได้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ครับ โดยกลุ่มที่ทำเลสิกไม่ได้ คือ คนที่มีกระจกตาบาง หรือมีโรคทางกระจกตาที่เป็นข้อห้ามในการทำเลสิก ซึ่งปัญหาเหล่านี้พบได้บ่อยมากๆ ครับ แต่ก็อาจไม่สามารถรู้ได้เลย ถ้าไม่เข้ามาตรวจคัดกรองก่อน
อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่มีโรคทางตาอื่นๆ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม โดยโรคเหล่านี้จำเป็นต้องรักษาโรคให้หายก่อน จากนั้นถึงจะสามารถทำเลสิกได้ต่อ
กลัวที่ถ่างตา
ที่ถ่างตาเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่สำคัญในการผ่าตัดครับ เพราะถ้าเรากะพริบตาจะทำให้เลเซอร์จับจุดโฟกัสและแก้ไขปัญหาสายตาไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วการใส่ที่ถ่างตา ถ้าเราให้ความร่วมมือกับแพทย์ขณะใส่อุปกรณ์ โดยลืมตาไว้ทั้งสองข้าง ไม่บีบตา ก็จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บครับ
สายตาสั้นกับสายตาเอียงภาพที่เห็นจะต่างกันยังไง
สายตาสั้น คือภาวะที่แสงที่เข้าสู่ดวงตาไปโฟกัส “ตกก่อนถึงจอประสาทตา” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ควรรับภาพให้ชัดที่สุด เมื่อโฟกัสตกก่อนแบบนี้ ภาพของวัตถุที่อยู่ไกลจึงดูพร่ามัว ไม่คมชัด ขณะที่การมองระยะใกล้ยังคงชัดเจนตามปกติ
ต่างจาก สายตาเอียง ซึ่งไม่ได้เกิดจากความยาวของลูกตา แต่เกิดจากรูปทรงของกระจกตาหรือเลนส์ตามีความโค้งไม่สม่ำเสมอ แกนตั้งและแกนนอนไม่เท่ากัน ทำให้แสงหักเหแล้วไม่รวมเป็นจุดเดียว ภาพที่เห็นจึงอาจเบลอทั้งใกล้และไกล
คนสายตาเอียงหลังทำเลสิกจะมีความสุขมากครับ เพราะเขาจะสามารถเห็นภาพชัดๆ ได้ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล
ทำไมอายุถึงมีผลกับการทำเลสิก บางคนบอกต้องทำก่อน 30 ถึงจะดีที่สุดจริงมั้ย?
จริงๆ แล้วการทำเลสิกให้ผลลัพธ์ที่ดีสุดเมื่อทำหลังจากสายตานิ่งแล้วครับ โดยแนะนำให้ทำเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป โดยการทำเลสิกเป็นการผ่าตัดถาวร หลังจากทำแล้วสายตาจะปกติไปเรื่อยๆ ยิ่งทำเร็วก็จะทำให้ใช้ชีวิตหลังจากทำได้อย่างสะดวกสบายและคุ้มค่าที่สุดครับ
ไปทำเลสิกคนเดียวได้มั้ย?
หลังการผ่าตัดแพทย์จะครอบตาให้ด้วยพลาสติกใส เพื่อป้องกันฝุ่นและป้องกันไม่ให้มือสัมผัสด้วยตาโดยตรง ซึ่งจริงๆ คนไข้ยังคงเห็นภาพได้อยู่บ้าง แต่ไม่สะดวกเท่าที่ควร หากจำเป็นต้องมาคนแนะนำให้ใช้ขนส่งสาธารณะ หรือถ้าไม่สะดวกจริงๆ การนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอาจตอบโจทย์กว่าครับ
ดวงตามีเพียงคู่เดียว การเลือกวิธีแก้ไขสายตาที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น แต่ยังลดความเสี่ยงจากการเลือกวิธีรักษาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาบางเกินไป ตาแห้งเรื้อรัง หรือการมองเห็นที่ไม่คมชัดหลังผ่าตัด
การตรวจประเมินโดยจักษุแพทย์ผู้ชำนาญและเลือกเทคนิคที่เหมาะกับลักษณะดวงตาแต่ละคน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสายตาให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ







