คุณเคยพยายามลดน้ำหนักมาแล้วกี่ครั้ง? ทั้งออกกำลังกาย คุมอาหาร กินยา กินอาหารเสริม ฯลฯ แต่ก็ไม่เคยได้ผล น้ำหนักไม่ลด แถมกลับมาโยโย่ น้ำหนักมากกว่าเดิมอีก! ถ้าเจอปัญหานี้อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะปัจจุบันมีตัวช่วยทางการแพทย์ นั่นคือ ปากกาควบคุมน้ำหนัก ที่จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ที่สำคัญคือ อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด จึงปลอดภัยกว่าหลายๆ วิธี จึงถือเป็นทางเลือกที่จะทำให้หลายคนกลับมาควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้นกว่าเดิม
ปากกาควบคุมน้ำหนัก คืออะไร วิธีใช้ เหมาะกับใคร อันตรายไหม ผลลัพธ์ดีมากน้อยแค่ไหน ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง บทความนี้รวบรวมทุกข้อที่คุณควรรู้ พร้อมเปรียบเทียบปากกาควบคุมน้ำหนักชนิดต่างๆ ฉบับเข้าใจง่าย เอาไว้ให้แล้ว
สารบัญ
- ปากกาควบคุมน้ำหนักคืออะไร?
- ปากกาควบคุมน้ำหนักทำงานยังไง?
- ปากกาควบคุมน้ำหนักเหมาะกับใคร?
- ปากกาควบคุมน้ำหนัก มีกี่ชนิด ต่างกันยังไง?
- ข้อดีของปากกาควบคุมน้ำหนัก
- ข้อจำกัดของปากกาควบคุมน้ำหนัก ใช้ได้ในทุกคนไหม?
- ผลข้างเคียงของปากกาควบคุมน้ำหนัก
- วิธีใช้งานปากกาควบคุมน้ำหนัก
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปากกาควบคุมน้ำหนัก
ปากกาควบคุมน้ำหนักคืออะไร?
ปากกาควบคุมน้ำหนัก (Weight-Control Pen) คืออุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายปากกา ภายในบรรจุยาใช้สำหรับฉีดใต้ผิวหนัง โดยตัวยาจะทำงานคล้ายคลึงกับฮอร์โมนที่มีชื่อว่า GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ ควบคุมความอยากอาหาร ชะลอการเคลื่อนตัวของอาหารในกระเพาะ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ตัวยาที่นิยมใช้ในปากกาควบคุมน้ำหนัก เช่น Tirzepatide, Semaglutide และ Liraglutide ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับฮอร์โมนในร่างกายค่อนข้างมาก
ดังนั้นการใช้ยากลุ่มนี้ ก็จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ควบคุมระดับน้ำตาล รวมทั้งช่วยควบคุมความหิวได้ดีขึ้นด้วย จึงนิยมใช้เป็นตัวช่วยทางการแพทย์ในผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
ปากกาควบคุมน้ำหนักทำงานยังไง?
ตัวยาที่อยู่ในปากกาควบคุมน้ำหนักจะออกฤทธิ์ในหลายๆ ด้านควบคู่กันไป โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ได้แก่
- ลดความอยากอาหาร: สาร GLP-1 จะไปกระตุ้นสมองส่วนควบคุมความอิ่ม ทำให้รู้สึกอิ่มง่ายขึ้น กินน้อยลงโดยไม่ต้องฝืนความอยากอาหาร
- ช่วยชะลอการเคลื่อนตัวของอาหาร: ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ไม่หิวบ่อย จึงช่วยลดพฤติกรรมกินจุกจิกลงได้
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: โดยจะเข้าไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งฮอร์โมนอินซูลินมากขึ้น ช่วยปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดไขมันหน้าท้อง: มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า GLP-1 มีส่วนช่วยในการลดไขมันช่องท้องได้ดีกว่าการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว
ปากกาควบคุมน้ำหนักเหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีค่า BMI ≥ 30 ขึ้นไป
- ผู้ที่มีค่า BMI ≥ 27 และมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
- ผู้ที่พยายามควบคุมอาหาร หรือออกกำลังกายแล้ว แต่ไม่ได้ผล หรือเห็นผลช้า
- ผู้ที่น้ำหนักเกิน ซึ่งแพทย์ประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคอื่นๆ ตามมา
- ผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงและน้ำหนักขึ้นจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคเบาหวานบางชนิด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การใช้ปากกาควบคุมน้ำหนัก จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ รวมทั้งมีการติดตามผลจากแพทย์เฉพาะทางอย่างสม่ำเสมอด้วย
ปากกาควบคุมน้ำหนัก มีกี่ชนิด ต่างกันยังไง?
ปากกาควบคุมน้ำหนักที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติรวมทั้งวิธีใช้ที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างได้ ดังนี้
| ชื่อ | ตัวยา | วิธีใช้งาน | ข้อดี | ข้อจำกัด |
| Mounja-Slim | Tirzepatide | ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง | ตัวยารุ่นใหม่ ให้ผลลัพธ์ดีกว่า และผลข้างเคียงน้อยกว่าในบางราย | ตัวยารุ่นใหม่ งานวิจัยน้อยกว่าชนิดอื่นๆ และราคาสูงกว่า |
| Wego-Slim | Semaglutide | ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง | มีงานทดลองยาวนานและผ่านการอนุมัติสำหรับการควบคุมน้ำหนัก | อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร |
| Ozem-Slim | Semaglutide | ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง | ผ่านการรับรองเป็นยารักษาเบาหวานด้วย | อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร |
| Healthy Slim | Liraglutide | ฉีดวันละ 1 ครั้ง | เหมาะกับผู้ที่ตอบสนองต่อ liraglutide ได้ดี | ต้องฉีดทุกวัน อาจไม่สะดวกเท่าชนิดอื่นๆ |
ข้อดีของปากกาควบคุมน้ำหนัก
- เป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
- ตัวยามีฤทธิ์ใกล้เคียงกับฮอร์โมนในร่างกาย โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงค่อนข้างน้อย
- ช่วยปรับการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ลดการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ทำให้อาหารเคลื่อนที่ช้าลง จึงรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดการกินจุกจิกลงได้
- การใช้งานง่าย สะดวก สามารถฉีดเองที่บ้านได้
ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทราบคือ ยาเหล่านี้คือ ไม่ได้มีข้อบ่งใช้เพื่อลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและช่วยจัดการความอยากอาหารเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน ควรทำควบคู่กับการควบคุมอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ จะช่วยเสริมให้ถึงเป้าหมายได้เร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ข้อจำกัดของปากกาควบคุมน้ำหนัก ใช้ได้ในทุกคนไหม?
แม้ว่าปากกาควบคุมน้ำหนักจะเป็นตัวช่วยในการคุมน้ำหนักที่ค่อนข้างปลอดภัย เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ห้ามใช้ในคนบางกลุ่มเช่นกัน ดังนี้
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งไทรอยด์ โรคไทรอยด์
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร
- เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และผู้สูงอายุ
- ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรคเบาหวานบางชนิด
- ผู้ที่ประวัติแพ้สารชนิดใดชนิดหนึ่งในยา เช่น Liraglutide, Semaglutide, Tirzepatide
- หากมีประวัติโรคหัวใจ ตับ ตับอ่อนอักเสบ โรคไต หรือปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี ควรแจ้งแพทย์ก่อน
ผลข้างเคียงของปากกาควบคุมน้ำหนัก
ผลข้างที่เคียงที่อาจพบได้เมื่อใช้ปากกาควบคุมน้ำหนัก เช่น
- บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูก แต่สามารถป้องกันโดยเริ่มฉีดยาในขนาดต่ำแล้วค่อยปรับปริมาณช้าๆ ขณะเดียวกันหากรู้สึกอิ่มแล้ว ควรหยุดรับประทานอาหารทันที และเมื่อใช้ต่อเนื่อง อาการเหล่านี้จะลดลง
- ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อพิจารณาปรับลดยาชนิดอื่น
- อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ภาวะถุงน้ำดีอักเสบ ภาวะตับอ่อนอักเสบ
- บางรายอาจมีอาการแพ้ยา เช่น บริเวณที่ฉีดเกิดผื่น บวมแดง หากมีอาการดังกล่าวควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
วิธีใช้งานปากกาควบคุมน้ำหนัก
การใช้งานปากกาควบคุมน้ำหนักมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก และแทบไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้งาน: การใช้ปากกาควบคุมน้ำหนักทุกชนิดต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยแพทย์จะประเมินน้ำหนักตัว BMI โรคประจำตัว ยาอื่นที่ใช้อยู่ และประเมินว่าเหมาะกับยา GLP-1 หรือไม่
- เตรียมตัวก่อนฉีด: ตรวจสอบความสมบูรณ์ของอุปกรณ์ก่อนฉีดทุกครั้ง ไม่ให้มีการชำรุด
- ขั้นตอนการฉีดยา:
- ล้างมือและทำความสะอาดผิวหนังที่จะฉีด เช่น หน้าท้อง ต้นขาด้านหน้า หรือสะโพกด้วยแอลกอฮอล์
- ปรับขนาดยาในปากกา ตามคำสั่งแพทย์
- จิ้มปากกาเข้าใต้ผิวหนัง ทำมุม 90° (หรือ 45° ขึ้นกับขนาดเข็ม/ความหนาของผิว)
- กดปุ่มฉีดจนยาหมดในปากกา
- รอ 5–10 วินาที เพื่อให้ยาเข้าสู่ร่างกายเต็มที่
- ถอนเข็มออก และกดเบาๆ บริเวณฉีด
- การเก็บรักษายา: เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ห้ามแช่ช่องฟรีซ โดยปากกาที่เปิดแล้ว สามารถอยู่ในตู้เย็นได้ตามคำแนะนำบนฉลาก (มัก 28–56 วัน ขึ้นกับชนิดยา)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปากกาควบคุมน้ำหนัก
1. ปากกาควบคุมน้ำหนัก ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม?
ตอบ: จากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของตัวยา ทำให้ผู้ใช้รับประทานอาหารน้อยลง อิ่มนานขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้ แต่ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ประสิทธิภาพยังขึ้นกับชนิดยา ขนาดยา พฤติกรรมการกิน และการออกกำลังกายด้วย หากใช้ยาเพียงอย่างเดียวโดยไม่ปรับพฤติกรรม มักไม่ให้ผลในระยะยาว เมื่อเทียบกับการใช้ยาร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. ใช้ปากกาควบคุมน้ำหนักนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
ตอบ: ส่วนใหญ่มักเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 4-12 สัปดาห์ และผลชัดเจนขึ้นภายใน 3-6 เดือน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่แพทย์วางแผน ขนาดโดสยา รวมทั้งขึ้นอยู่กับพฤติกรมการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายด้วย
3. ถ้าหยุดใช้ปากกาควบคุมน้ำหนักแล้ว น้ำหนักจะขึ้นไหม (โยโย่ไหม)?
ตอบ: หากผู้ใช้ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเช่นเดิม เช่น ไม่ควบคุมการรับประทานอาหาร ไม่ออกกำลังกาย ก็มีความเสี่ยงที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นหลังจากหยุดยา ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาวจึงเป้นสิ่งสำคัญมาก
4. ปากกาควบคุมน้ำหนัก ควรใช้นานแค่ไหน?
ตอบ: ไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เป้าหมายของแต่ละคน สุขภาพร่างกาย การตอบสนองต่อยา และคำแนะนำของแพทย์
โดยทั่วไปควรใช้อย่างน้อย 3–6 เดือน และหากได้ผลดีแพทย์มักแนะนำให้ใช้ต่อเนื่อง 6–12 เดือน เพื่อให้น้ำหนักคงที่และป้องกันการโยโย่
ทั้งนี้ก่อนเริ่มใช้ยา ปรับปริมาณยา หรือหยุดใช้ยา ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เสมอ ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ปรับปริมาณโดสเอง หรือหยุดใช้ยาเอง เพราะอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
ปากกาควบคุมน้ำหนัก เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยทางการแพทย์ที่ดี ในการจัดการความอยากอาหารและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ผู้ใช้ควบคุมพฤติกรรมการกินได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือ ควรใช้อย่างถูกต้องและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด







