vaccines children disease definition

เช็กลิสต์! วัคซีนเด็กที่ควรฉีดให้ครบก่อนส่งลูกเข้าเนิร์สเซอรี่มีอะไรบ้าง

การส่งลูกเข้าเนิร์สเซอรี่ครั้งแรกมักมาพร้อมความรู้สึกตื่นเต้นผสมความกังวลของพ่อแม่ นอกจากการฝึกวินัย เสริมพัฒนาการ และเตรียมใจให้ลูกปรับตัวกับสังคมใหม่แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือสุขภาพของลูกน้อย โดยเฉพาะการได้รับวัคซีนเด็กให้ครบถ้วนตามช่วงวัย

เด็กเล็กในช่วงวัยก่อนเข้าเรียนถือเป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ อีกทั้งกิจกรรมในเนิร์สเซอรี่ เช่น การเล่นของเล่นร่วมกัน การสัมผัสใกล้ชิด หรือแม้แต่การไอหรือจาม ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้หลายชนิด วัคซีนจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันด่านแรกที่ช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยรุนแรงและปกป้องลูกจากโรคที่พบบ่อยในวัยเด็กได้

ทำไมวัคซีนเด็กถึงสำคัญและควรฉีดก่อนเข้าเนิร์สเซอรี่?

วัคซีนเด็กมีความสำคัญอย่างมาก เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ การได้รับวัคซีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสต่างๆ ที่มักแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กเล็กและทำให้เกิดโรคได้ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคคอตีบ โปลิโอ หลอดลมอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ อีสุกอีใส หัด หรือ มือเท้าปาก 

นอกจากนี้ โรงเรียนและเนิร์สเซอรี่ยังเป็นสถานที่ที่มีเด็กจำนวนมากอาศัยอยู่ร่วมกัน โรคติดต่อต่างๆ จึงเกิดการระบาดได้ง่ายขึ้น การฉีดวัคซีนเด็กเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกก่อนเข้าเนิร์สเซอรี่จึงเป็นเกราะสำคัญ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ ลดการป่วยหนักจนต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล และช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังสมาชิกในครอบครัวรวมถึงชุมชนรอบข้างได้

วัคซีนเด็กพื้นฐานที่ควรฉีดให้ครบก่อนลูกอายุ 1-2 ปี

ช่วงวัยแรกเกิดถึง 2 ปี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะภูมิต้านทานของเด็กยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ การได้รับวัคซีนเด็กพื้นฐานจึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันด่านแรกที่ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรคหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

โดยวัคซีนเด็กพื้นฐานที่ควรฉีดให้ครบก่อนลูกอายุ 1-2 ปี จากคำแนะนำแผนการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข มีดังนี้

  • วัคซีน BCG : เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันวัณโรคในเด็กทารกและเด็กเล็ก ควรฉีดทันทีหลังคลอด เพื่อป้องกันวัณโรคชนิดแพร่กระจาย วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง และวัณโรคกระดูก ซึ่งอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้
  • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (HBV) : เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ที่อาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในระยะยาวได้ ควรฉีดทันทีหลังคลอด และตามด้วยเข็มที่สองเมื่อเด็กอายุ 1 เดือน เข็มที่สามเมื่อเด็กอายุ 6 เดือน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพ
  • วัคซีนป้องกันบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน (DTaP) : เป็นวัคซีนรวมที่ช่วยป้องกันได้ 3 โรค ได้แก่ โรคบาดทะยัก โรคคอตีบ และโรคไอกรน ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ในช่วงอายุ 2, 4 และ 6 เดือนตามลำดับ และฉีดกระตุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 18 เดือน ฉีดกระตุ้นครั้งที่สองเมื่ออายุ 4-6 ปี
  • วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (IPV/OPV) : ปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแบบฉีด (IPV) และแบบรับประทาน (OPV) โดยประเทศไทยกำหนดให้ฉีดวัคซีน IPV 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็กอายุ 2 เดือน เข็มที่สองเมื่อเด็กอายุ 4 เดือน ส่วนวัคซีน OPV รับทั้งหมด 3 ครั้ง เมื่อเด็กอายุครบ 6 เดือน 18 เดือน และ 4 ปี 
  • วัคซีน MMR : เป็นวัคซีนรวมที่ป้องกันได้ 3 โรค ได้แก่ โรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน โดยวัคซีน MMR จะฉีดทั้งหมด 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่อเด็กอายุ 2 ปีครึ่ง ถึง 6 ปี

ช่วงระยะ 1-2 ปีแรกของชีวิตอาจดูเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับเป็นช่วงสำคัญในการวางรากฐานสุขภาพของเด็ก การได้รับวัคซีนเด็กพื้นฐานครบถ้วนตามช่วงวัย ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันโรคร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคและช่วยให้พ่อแม่อุ่นใจเมื่อลูกต้องออกไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมเนิร์สเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาลได้

วัคซีนเสริมสำหรับเด็กที่แนะนำให้ฉีดก่อนเข้าเนิร์สเซอรี่

การเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อยก่อนเข้าเนิร์สเซอรี่ ไม่ได้มีเพียงแค่รับวัคซีนพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังมีวัคซีนเสริมสำหรับเด็กที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงจากโรคติดต่อที่พบบ่อยในวัยเตรียมอนุบาลได้ 

วัคซีนเหล่านี้จะช่วยป้องกันโรคระบาดในศูนย์เด็กเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่บังคับ แต่ก็ควรพิจารณาเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว โดยวัคซีนเสริมสำหรับเด็กที่แนะนำมี ดังนี้

วัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก

โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีเด็กอยู่รวมกัน เช่น เนิร์สเซอรี่หรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสกลุ่ม Enterovirus และหนึ่งในสายพันธุ์ที่น่ากังวลมากที่สุดคือ EV71 (Enterovirus 71) ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ หรือระบบประสาทล้มเหลวได้

โดยปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อสายพันธุ์ EV71 ได้ ซึ่งแม้ว่าวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อ EV71 จะยังไม่อยู่ในแผนวัคซีนพื้นฐานของกระทรวงสาธารณสุขไทย แต่ก็ได้รับการแนะนำจากกุมารแพทย์ทั่วโลกว่าควรพิจารณาให้ลูกได้รับก่อนเข้าโรงเรียน

วัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อ EV71 จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรง ลดการแพร่กระจายของโรค และเพิ่มความมั่นใจให้กับพ่อแม่เมื่อลูกต้องอยู่ร่วมกับเด็กคนอื่นในช่วงวัยเตรียมอนุบาลได้ แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71) ในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอย่างเต็มที่

วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า 

คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าโรคพิษสุนัขบ้าเกิดขึ้นได้จากสุนัขเท่านั้น แต่ความจริงแล้วโรคนี้สามารถติดต่อได้จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น แมว ลิง หรือค้างคาว หากลูกถูกกัด ข่วน หรือเลียแผลเปิด ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือโรคพิษสุนัขบ้าไม่มียารักษา หากติดโรคนี้อาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าก่อนสัมผัสโรคจึงถูกแนะนำให้ฉีดสำหรับเด็กที่มีความเสี่ยง เช่น อยู่ใกล้สัตว์เลี้ยงจำนวนมาก หรืออยู่ในพื้นที่ที่พบโรคบ่อย โดยวัคซีนนี้จะฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 7 วัน 

แต่ในกรณีที่ลูกโดนสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัดหลังฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายภายใน 6 เดือน ให้ฉีดกระตุ้นเพียง 1 เข็มโดยเร็วที่สุด

รวมถึงถ้าหากลูกถูกกัดหลังจากฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกิน 6 เดือน ให้ฉีดกระตุ้น 2 เข็มในวันที่ 0 และ 3 หรือฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง 4 จุดครั้งเดียวโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างมีประสิทธิภาพ

Scroll to Top