เบื้องหลังการหลงลืม คิดอะไรไม่ออก สื่อสารยากขึ้น หรืออาการชัก อาจเป็นสัญญาณของสมองฝ่อ ที่ไม่เพียงเกิดจากอายุที่มากขึ้น ปัญหาสุขภาพ แต่อาจมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเอง ลองมาดูกันว่าโรคนี้คืออะไร และจะชะลอความเสื่อมของสมองได้อย่างไรบ้าง
สมองฝ่อ คืออะไร
โรคสมองฝ่อ (Brain atrophy หรือ Cerebral atrophy) เป็นการสูญเสียเซลล์ประสาท (Neurons) หรือการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท จนปริมาณเนื้อสมองลดน้อยลง กระทบต่อการทำงานดของสมองในด้านต่าง ๆ เช่น ความคิด ความจำ และการดำเนินชีวิตประจำวัน
ผู้ป่วยบางรายอาจสมองฝ่อเพียงบางส่วน (Focal atrophy) บางรายอาจสมองฝ่อทุกส่วน (Generalized atrophy) ผู้สูงอายุมักพบสมองฝ่อได้มากกว่าช่วงวัยอื่น แต่บางรายอาจสมองฝ่อตั้งแต่เกิดหรืออายุยังน้อย
สาเหตุของสมองฝ่อมาจากสมองเสียหายหรือถูกทำลายจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น
- ความชรา ซึ่งเป็นความเสื่อมของร่างกายตามธรรมชาติ
- พันธุกรรมจากคนในครอบครัว
- พฤติกรรมเสี่ยงสมองฝ่อ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ไม่ดูแลตัวเอง ไม่ใช้ความคิด หรือปลีกตัวจากสังคม
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) การหกล้ม หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์
- โรคที่เกี่ยวกับสมอง เช่น สมองพิการ (Cerebral palsy) สมองเสื่อม (Dementia) หรือเนื้องอกที่สมอง
- โรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) โรคเอดส์ (AIDS) หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การรักษาสมองฝ่อจะขึ้นอยู่กับต้นเหตุที่ทำให้สมองเสียหาย โดยมักใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อลดหรือชะลอความเสียหายให้ได้มากที่สุด ให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะยารักษา การบำบัด หรือการผ่าตัด
รวมสัญญาณเตือนสมองฝ่อที่ควรสังเกต
อาการสมองฝ่อในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งสมองที่ฝ่อหรือเสียหาย และความรุนแรงของโรค หากสมองฝ่อเพียงบางส่วนจะมีอาการเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองในส่วนนั้น หากสมองฝ่อทั้งหมด จะพบอาการผิดปกติในทุกการทำงานของสมอง
โดยอาการสมองฝ่ออาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักได้ดังนี้
- การสื่อสารบกพร่อง: มีปัญหาในการพูดคุย การอ่านและเขียนหนังสือ การทำความเข้าใจภาษาหรือความหมายของคำต่าง ๆ
- สมองเสื่อม: หลงลืม คิดไม่ออก ความสามารถในการตัดสินใจและการวางแผนแย่ลง เห็นภาพหลอน อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนไป การดำเนินชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น
- ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ: ชัก สูญเสียสติสัมปชัญญะ น้ำลายไหล กัดฟัน นอนกรน ตากระตุก กล้ามเนื้อเกร็ง หรือมีปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกาย
สมองฝ่อยังอาจก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยอาจทรงตัวลำบาก เดินไม่ได้ ตาไม่ชัด พูดไม่ชัด ฟังคนพูดไม่ออก ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า แขน หรือขา ปวดหรือเวียนศีรษะรุนแรง จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
วิธีชะลอความเสื่อมสมอง สมองฝ่อ
แม้สมองฝ่อเป็นปัญหาสุขภาพที่ป้องกันได้ยากเนื่องจากพัฒนาตามอายุที่มากขึ้นหรือโรคประจำตัวที่รักษาไม่หายขาด แต่เราสามารถชะลอหรือลดความเสี่ยงของต้นเหตุโรคสมองฝ่อบางประการ ด้วยการใส่ใจดูแลสุขภาพเป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่น
- ทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เช่น ผลไม้ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน หรือเนื้อไก่ไม่ติดหนัง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำ เช่น เดิน ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ
- หาวิธีผ่อนคลายความเครียดและความเศร้า เช่น กางานอดิเรกทำ หมั่นเข้าสังคม หรือสมัครเป็นจิตอาสา
- กระตุ้นการทำงานของสมองเป็นประจำ เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมไขปริศนา หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ
- เลิกดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ โดยอาจปรึกษาแพทย์เพื่อเลิกบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะกับตัวเองที่สุด
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและคู่นอน
- คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันน็อก หรือใส่อุปกรณ์ป้องกันศีรษะทุกครั้งที่ใช้ยานพาหนะหรือเล่นกีฬาที่ใช้แรงกระแทก
- ทานยาตามที่แพทย์สั่งเพื่อควบคุมโรคประจำตัว โดยเฉพาะยารักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และคอเลสเตอรอลสูง
- ตรวจคัดกรองสุขภาพสมองตั้งแต่ก่อนวัยสูงอายุหรือตามที่แพทย์แนะนำ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง มีโรคประจำตัว หรือสมองเคยได้รับความเสียหายมาก่อน
จะเห็นว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับสมองฝ่ออย่างมาก หากเราปรับพฤติกรรมและหันมาดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ ความเสี่ยงของสมองฝ่อจะลดน้อยลง และเพิ่มโอกาสของการมีคุณภาพที่ดีในบั้นปลายได้มาก
เปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว อย่าลืมใส่ใจสมองอย่างละเอียด ค้นหาแพ็กเกจ ตรวจสุขภาพสมอง ได้เลย HDmall.co.th รวมดีลเด็ด จากโรงพยาบาลใกล้บ้านมาให้แล้ว