Default fallback image

โรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ เป็นแล้วรุนแรงแค่ไหน ป้องกันก่อนได้ไหม

โรคไข้เลือดออกแพร่ระบาดในประเทศไทยอยู่บ่อย ๆ แม้คนส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว มักไม่ค่อยมีอาการ หรืออาการไม่รุนแรง แล้วผู้สูงวัยที่เป็นไข้เลือดออกล่ะ ติดเชื้อแล้ว จะอันตรายหรือเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าวัยอื่นไหม บทความนี้มีคำตอบ

สาเหตุของโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ

โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) จากการถูกยุงลายเพศเมียที่มีเชื้อนี้กัด ซึ่งเชื้อไวรัสมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV–1, DENV–2, DENV–3 และ DENV–4 ทุกสายพันธุ์ล้วนก่อโรคไข้เลือดออกได้เหมือนกันหมด 

โรคไข้เลือดออกพบได้ตลอดปี แต่มักระบาดในช่วงฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่มีน้ำขัง เหมาะแก่การวางไข่ของยุงลาย ซึ่งยุงลายพาหะหลักของโรคไข้เลือดออกคือ ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) ที่มักออกหากินตอนกลางวัน 

เมื่อยุงลายไปกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อ แล้วรับเอาเชื้อไวรัสเข้ามาฟักตัวในตัวยุง ประมาณ 8–12 วัน หลังจากนั้นยุงลายที่มีเชื้อจะไปกัดคนถัด ๆ ไป ทำให้คนที่ถูกกัดได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะใช้เวลาฟักในคน ประมาณ 3–5 วัน ถึงเริ่มแสดงอาการของโรคออกมา

อาการไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ อันตรายกว่าวัยอื่นไหม

ผู้สูงอายุมักเกิดอาการรุนแรงได้มากกว่าคนวัยอื่น เพราะส่วนมากจะมีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว ร่วมกับภูมิต้านทานของร่างกายที่ลดลง ทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย และอาจกระทบไปถึงการรักษาด้วย 

สำหรับอาการไข้เลือดออกในผู้สูงอายุไม่ได้แตกต่างจากวัยอื่น การติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งแรกมักไม่มีอาการรุนแรง แต่หากติดเชื้อซ้ำคนละสายพันธุ์ อาการจะมีความรุนแรงขึ้น โดยอาการไข้เลือดออกแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ 

ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง

ระยะนี้จะเป็นนาน 2–7 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยเฉียบพลัน อาจสูงได้ถึง 40–41 องศาเซลเซียส ใช้ยาลดไข้แล้ว ไข้มักไม่ลง ไม่มีอาการไอหรือน้ำมูก 

นอกจากนี้ ยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย คือ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หน้าแดง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องตรงชายโครงด้านขวา ปวดเมื่อยตามตัว ท้องผูกหรือถ่ายเหลว อาจมีจุดเลือดออกตามแขน ขา ลำตัว 

ระยะที่ 2 ระยะช็อกหรือระยะวิกฤต 

คนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอาจไม่เข้าสู่ระยะนี้ อาการจะดีขึ้นตามลำดับ แล้วเข้าสู่ระยะฟื้นตัวถัดไป ส่วนคนที่เข้าสู่ระยะที่ 2 อาการจะมีความรุนแรงมากขึ้น จนถือเป็นช่วงวิกฤตของโรคเลยก็ว่าได้ เพราะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก มีเลือดออก เกิดภาวะช็อก อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

โดยอาการของระยะนี้คือ 

  • ไข้จะเริ่มลดลง แต่อาการอื่นไม่ดีขึ้น ยังคงอาเจียน ปวดท้องรุนแรงขึ้น 
  • คนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ จะเกิดภาวะเลือดออกง่าย การแข็งตัวเลือดผิดปกติ เช่น มีรอยจ้ำหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระปนเลือดหรือเป็นสีดำ 
  • มีการรั่วของพลาสมาในหลอดเลือดออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อ ทำให้ความดันเลือดตกลง หรือเกิดภาวะช็อก ผู้ป่วยจะมีอาการซึม ตัวเย็น มือและเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อออกมาผิดปกติ ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันเลือดต่ำ
  • การทำงานของอวัยวะสำคัญเสียไป เช่น ตับวาย ไตวาย สมองบวม หรือเกิดการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน 

จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยด่วน หากไม่ได้รับการรักษาให้ทันเวลา อาจเสียชีวิตได้ภายใน 1–2 วัน 

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว

ผู้ป่วยที่ผ่านระยะไข้สูงโดยไม่ได้เข้าสู่ระยะวิกฤต หรือผ่านพ้นระยะวิกฤตมาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรคไข้เลือดออก อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับในช่วง 7–10 วัน 

ผู้ป่วยจะซึมน้อยลง เริ่มรับประทานอาหารได้ ชีพจรและความดันเลือดกลับมาเป็นปกติ มีปัสสาวะออกมากขึ้น แต่อาจมีผื่นตามแขน ขา และตัว ลักษณะเป็นวงสีขาวบนพื้นผิวหนังสีแดง มักมีอาการคัน ซึ่งจะหายได้เองหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้สูงอายุมีไข้สูงลอยนานเกิน 2 วัน หรือไข้ลดลง แต่มีอาการอื่น ๆ ในข้างต้น ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด 

ถ้าต้องการรับประทานยาลดไข้ ให้ใช้ยาพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก ทำให้อาการแย่ลงได้

การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ

การวินิจฉัยเบื้องต้นจะมีการซักประวัติ สอบถามสภาพแวดล้อมของที่พักอาศัย และอาการน่าสงสัยของโรค โดยเฉพาะหากมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามลำตัว มักจะถูกสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกไว้ก่อน 

นอกจากนี้ ยังต้องมีการตรวจเลือดอีกหลายรายการ เพื่อยืนยันผลการติดเชื้อ ได้แก่

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC)
มักตรวจตั้งแต่วันที่ 3 ของอาการป่วยเป็นต้นไป เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดกว่าวันแรก ๆ โดยจะพบเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดลดลง ถ้ามีการรั่วของพลาสมาด้วย ความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น 

การตรวจเลือดหาแอนติเจน (Dengue NS1Ag, IgG, IgM)
เป็นการตรวจหาการติดเชื้อไวรัสเดงกีจากส่วนประกอบของเชื้อไวรัส และภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ร่างกายสร้างขึ้น โดย
แอนติเจนชนิด NS1 เป็นโปรตีนที่ไวรัสสร้างขึ้น หลังการติดเชื้อจะปล่อยออกมาเป็นจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน ร่างกายจะสร้างแอนติบอดีชนิด IgG และ IgM ซึ่งเป็นสารก่อภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น เพื่อตอบสนองต่อเชื้อที่เป็นสิ่งแปลกปลอม

วิธีรักษาโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ

โรคไข้เลือดออกไม่มียาต้านไวรัสโดยเฉพาะ การรักษาจะเน้นที่การดูแลตามอาการ เช่น ให้สารน้ำป้องกันภาวะขาดน้ำ ถ้ามีไข้สูงจะให้ยาลดไข้ อาจต้องรักษาโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

หากผู้สูงอายุมีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะระยะวิกฤตที่เสี่ยงเกิดอาการช็อกได้มาก ส่วนผู้สูงอายุที่อาการไม่รุนแรง สามารถกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านได้

คำแนะนำในการดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก

  • เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิปกติบิดหมาด ๆ เช็ดตามใบหน้า ซอกคอ รักแร้ ข้อพับ ขาหนีบ 
  • รับประทานยาลดไข้ ต้องเป็นยาพาราเซตามอลเท่านั้น ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟนเด็ดขาด และรับประทานตามปริมาณแพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันยาอาจเป็นพิษต่อตับ 
  • พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
  • ดื่มน้ำมาก ๆ หรือจิบน้ำเกลือแร่ครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายเสียไปจากการอาเจียนหรือมีไข้สูง 
  • รับประทานอาหารอ่อน งดอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีคล้ายเลือด เพื่อไม่ให้การวินิจฉัยคลาดเคลื่อน 
  • ถ้ามีอาการรุนแรง พบแพทย์ทันที เช่น อาเจียนมาก ปวดท้องตรงชายโครงขวามาก กดแล้วเจ็บ ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย ซึมลง หายใจเหนื่อย มีเลือดออก หรือไม่รู้สึกตัว

เคยเป็นไข้เลือดออกแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันไหม ป่วยซ้ำได้หรือเปล่า

หลังหายจากโรคไข้เลือดออกแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอด และสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นในระยะสั้น ๆ ทำให้ผู้สูงอายุป่วยเป็นไข้เลือดออกซ้ำได้หลายครั้งจากสายพันธุ์ที่ไม่เคยติด 

กรณีติดเชื้อเป็นครั้งที่สองหรือครั้งถัด ๆ ไปแล้วเป็นคนละสายพันธุ์ ภูมิคุ้มกันเดิมจะไม่ได้มีผลกับสายพันธุ์ใหม่ที่ติด จึงกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองอย่างรุนแรง อาการจะรุนแรงขึ้นกว่าการติดเชื้อครั้งแรก 

การป้องกันโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ

การป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ดี คือ ป้องกันหรือเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด โดยยาทากันยุง ใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายมิดชิด ใช้มุ้งกันยุง หรือติดมุ้งลวดป้องกันยุงลายเข้าภายในบ้าน 

รวมถึงควรทำลายแหล่งเพราะพันธุ์ยุงลาย ทั้งในและนอกบ้าน ไม่ควรปล่อยให้มีน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ ภาชนะใส่น้ำควรมีฝาปิดให้มิดชิด ถ้าปิดฝาภาชนะไม่ได้ ให้ใส่ทรายอะเบท เพื่อป้องกันลูกน้ำยุงลาย 

อีกวิธีที่ช่วยป้องกันโรคได้มีประสิทธิภาพ คือ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และลดความรุนแรงของโรคหากเกิดการติดเชื้อขึ้น 

ปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีนไข้เลือดออกอยู่ 2 ชนิด คือ

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม 

  • เหมาะกับคนอายุ 4–60 ปี ฉีดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนการรับวัคซีน
  • ฉีด 2 เข็ม แต่ละเข็มเว้นระยะฉีดห่างกัน 3 เดือน 

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม 

  • เหมาะกับคนอายุ 6–45 ปี และเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว หากไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน
  • ฉีด 3 เข็ม แต่ละเข็มเว้นระยะฉีดห่างกัน 6 เดือน 

อายุเยอะ ติดไข้เลือดออกแล้วเสี่ยงชีวิต ดูแลคนสำคัญด้วยวิธีง่าย ๆ ด้วย แพ็กเกจวัคซีนไข้เลือดออก จองรับราคาพิเศษที่ Hdmall.co.th พร้อมเลือกสถานพยาบาลใกล้บ้านที่สะดวกได้เลย

Scroll to Top