Default fallback image

ลูกท้องเสีย ถ่ายเหลว พ่อแม่รับมืออย่างไร?

อาการท้องเสียเป็นอาการที่เกิดได้บ่อย ไม่เฉพาะแค่ในผู้ใหญ่เท่านั้น เด็ก ๆ ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน หากเกิดขึ้นแล้ว อาการจะเหมือนผู้ใหญ่หรือเปล่า ดูแลรักษาเองที่บ้านได้ไหม หรือต้องพาไปโรงพยาบาลตอนไหน ยิ่งลูกยังเล็กอาจทำให้พ่อแม่หลายคนกังวล บทความนี้มีคำตอบมาฝาก! 

สาเหตุทำให้เด็ก ๆ ท้องเสีย

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการท้องเสียในเด็กมักเป็นผลมาจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะโรต้าไวรัส และโนโรไวรัส รองลงมามักจะเป็นกลุ่มของเชื้อแบคทีเรีย อย่างซัลโมเนลลา เชื้อบิด และเชื้ออีโคไล ซึ่งมักปะปนมากับอาหาร และสภาพแวดล้อมของเด็ก อย่างการวิ่งเล่นในสนามหญ้า หรือได้รับมาจากเพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียน

อย่างไรก็ตาม อาการท้องเสียในกลุ่มเด็ก ๆ อาจมาจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การติดเชื้อ อย่างภาวะภูมิแพ้อาหารแฝง (Food intolerance) โรคเกี่ยวกับลำไส้ หรือเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาฆ่าเชื้อเช่นกัน

รู้ได้อย่างไรว่าลูกท้องเสีย

คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้จากพฤติกรรมการขับถ่ายเป็นหลัก ร่วมกับอาการที่เกิดร่วมด้วย ดังนี้

ความถี่
ปกติแล้ว เด็กทารกจะอุจจาระประมาณ 4–10 ครั้ง/วัน และเด็กเล็กจะอุจจาระประมาณ 1–3 ครั้ง/วัน หากลูกอุจจาระเกินกว่านี้ อาจเป็นสัญญาณอาการท้องเสีย แต่ควรสังเกตอาการอื่นร่วมด้วย

ลักษณะของอุจจาระ
อุจจาระไม่เป็นก้อน แต่เหลวมากกว่าปกติหรือถ่ายเป็นน้ำ การขับอุจจาระออกมามักรุนแรงกว่าปกติ และอาจมีมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ

อาการอื่นเกิดร่วมด้วย
นอกจากจำนวนการขับถ่ายที่บ่อย และถ่ายเหลวเป็นน้ำแล้ว เด็ก ๆ อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย

ดูแลอย่างไรเมื่อลูกท้องเสีย ?

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบชัดเจนแล้วว่าลูกกำลังมีอาการท้องเสีย ควรดูแลเบื้องต้นด้วยวิธีต่อไปนี้

ให้ดื่มเกลือแร่แก้ท้องเสีย (ORS) 

เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำที่เป็นอันตราย ควรให้ลูกดื่มเกลือแร่แก้ท้องเสียทันที และทุกครั้งหลังมีอาการท้องเสีย โดยให้ผสมตามสัดส่วนบนซอง เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากร่างกาย 

เด็กโตให้เน้นให้จิบทีละน้อย บ่อย ๆ ไม่ควรดื่มรวดเดียวหมด ส่วนเด็กเล็ก ๆ ควรใช้ช้อนตักป้อนทีละน้อย เพื่อลดโอกาสที่ลูกจะอาเจียน หรือลูกไม่ยอมดื่ม และยังช่วยให้ดูดซึมได้ดีกว่าการให้ดูดจากขวด ปริมาณแนะนำเป็นดังนี้

  • อายุน้อยกว่า 2 ปี ให้ดื่มครั้งละ ¼–½ แก้วน้ำ (2–3 ออนซ์) 
  • อายุ 2–10 ปี ให้ดื่มครั้งละ ½-1 แก้วน้ำ (3–6 หรือ 8 ออนซ์)
  • อายุ 10 ปีขึ้นไป ให้ดื่มในปริมาณมากเท่าที่ดื่มได้

นอกจากนี้ ควรให้เด็กดื่มน้ำบ่อย ๆ ควบคู่ไปด้วย ส่วนเด็กเล็กที่ดื่มนม ควรให้นมบ่อยขึ้นกว่าปกติ ร่วมกับให้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เน้นเป็นอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่น น้ำซุป โจ๊ก หรือข้าวต้ม

ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา 

ท้องเสียเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรคออกจากร่างกาย เพื่อไม่ให้เชื้อโรคสะสมในปริมาณมาก หรือถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบการไหลเวียนโลหิตจนเกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิต จึงไม่ควรใช้ยาหยุดถ่าย รวมถึงยาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะใด ๆ เพราะยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

หากต้องการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อการรักษาที่ตรงจุด และไม่เสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่ไม่จำเป็น หากได้รับการสั่งจ่ายยา ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

เฝ้าระวังภาวะขาดน้ำ

ระหว่างที่ลูกท้องเสีย เด็กอาจยังไม่สามารถสื่อสารถึงอาการได้อย่างตรงไปตรงมา คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการที่บ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำด้วย เช่น ปากแห้ง ตาโหล ปัสสาวะน้อย ร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตา และอ่อนเพลียผิดปกติ

รวมถึงอาจลองสังเกตอาการลูกว่าดีขึ้นหรือยัง ถ้าลูกยังรับประทานอาหารหรือนม และดื่มน้ำเกลือแร่ได้ ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แม้จะยังถ่ายอยู่ แสดงว่าการทดแทนน้ำและเกลือแร่ได้เพียงพอ ควรให้ลูกดื่มไปจนกว่าจะหยุดถ่าย อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2–3 วัน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรพาลูกพบแพทย์ 

อาการท้องเสียแบบไหน ควรพาลูกไปพบแพทย์?

หากพบอาการต่อไปนี้ ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที

  • อาการท้องเสียในทารก อายุต่ำกว่า 6 เดือน
  • พบสัญญาณของภาวะขาดน้ำ เช่น ร้องไห้ ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะน้อยกว่า 3–4 ครั้ง/วัน ปากแห้ง
  • มีเลือดปนในอุจจาระ หรืออุจจาระมีสีดำ
  • อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
  • ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง
  • อาการท้องเสียต่อเนื่องในช่วง 1 วันในทารก และมากกว่า 3 วันในเด็กเล็ก

วิธีป้องกันอาการท้องเสียในเด็ก

การป้องกันโรคท้องเสียที่ดีที่สุดในเด็ก คือการให้ลูกได้รับนมแม่ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 6 เดือนแรก ควรให้นมแม่อย่างเดียว เพราะทำให้เด็กได้รับภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ ที่มีเฉพาะในนมแม่ 

รวมถึงควรรักษาความสะอาดสุขอนามัย ทั้งคนเลี้ยงเด็ก และตัวเด็กเอง เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย เด็กเล็ก ๆ ควรดูแลความสะอาดของขวดนม หากลูกดื่มไม่หมด ควรหาภาชนะปิดให้มิดชิด และไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง 

ส่วนเด็กโตที่รับประทานอาหาร ควรให้ลูกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ มีความสะอาด และให้ลูกล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนมื้ออาหาร หลังจากเข้าห้องน้ำ และหลังจากออกไปเล่น 

นอกจากนี้ สามารถปรึกษาแพทย์ถึงการฉีดรับวัคซีนที่เกี่ยวข้อง อย่างวัคซีนโรต้าไวรัสที่เป็นสาเหตุอาการท้องเสียที่พบบ่อยในเด็กอายุ 3 เดือน–2 ปี เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ หรือหากติดเชื้อแล้ว ยังช่วยลดความรุนแรงของอาการได้

ตัดหนึ่งในตัวการของอาการท้องเสียในเด็กได้ตั้งแต่ตอนนี้ ดูโปรวัคซีนโรต้าไวรัส ราคาโปรโมชันแบบไม่ต้องใส่โค้ด พร้อมเปรียบเทียบราคาจาก รพ. และคลินิกชั้นนำ ได้ที่ HDmall.co.th

Scroll to Top