Default fallback image

ปอดติดเชื้อ โรคหนองในปอด รักษายังไงได้บ้าง?

อาการไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก อาจไม่ใช่เพียงแค่หวัดธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณของ “โรคหนองในปอด” หรือที่เรียกว่าภาวะปอดติดเชื้อรุนแรง ซึ่งหากละเลยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต

ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับโรคหนองในปอดอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ แนวทางการวินิจฉัย ไปจนถึงการรักษาและการดูแลตัวเอง พร้อมแนะนำสิ่งที่ควรสังเกตเพื่อให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา

โรคหนองในปอด คืออะไร?

เมื่อพูดถึงโรคเกี่ยวกับปอด หลายคนอาจนึกถึงโรคที่ได้ยินกันบ่อย เช่น ปอดอักเสบ หรือวัณโรค แต่มีอีกภาวะหนึ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้จัก นั่นคือ “โรคหนองในปอด” หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า “Empyema” 

โรคหนองในปอด คือ ภาวะที่มีหนองเกิดขึ้นในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural Space) ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างปอดและผนังทรวงอก หนองที่ว่านี้คือของเหลวหนืดสีขาว เหลือง ชมพู หรือเขียว ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาว เนื้อเยื่อตาย และแบคทีเรีย เป็นกลไกของร่างกายในการพยายามกำจัดเชื้อโรค

ถึงแม้หนองในปอดจะไม่จัดว่าเป็นโรคเรื้อรังแบบ COPD (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) แต่ก็มักพบร่วมกับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง วัณโรค หรือผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดทรวงอก

สาเหตุของโรคหนองในปอด

โรคหนองในปอดเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อราที่ทำให้เกิดการอักเสบและมีหนองสะสมภายในเนื้อปอด โดยสาเหตุหลักๆ มีดังนี้

  • การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดรุนแรง เช่น Staphylococcus Aureus, Klebsiella Pneumoniae หรือเชื้อแบคทีเรียชนิดผสม
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด ที่อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนในปอด
  • การอุดตันของหลอดลม เนื่องจากเสมหะหรือวัตถุแปลกปลอม ทำให้เชื้อโรคสะสมและขยายตัวจนเกิดหนอง
  • ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเบาหวาน มะเร็ง หรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งแม้ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงโดยตรง แต่เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้เชื้อโรครุนแรงขึ้น
  • การได้รับบาดเจ็บที่ปอดหรือการผ่าตัดในช่องอก ที่ทำให้เชื้อโรคมีโอกาสเข้าสู่เนื้อปอดได้ง่ายขึ้น

ใครบ้างเสี่ยงเป็นโรคหนองในปอด?

แม้ใครๆ ก็มีโอกาสเป็นโรคหนองในปอดได้ แต่กลุ่มเสี่ยงที่พบบ่อย ได้แก่

  • ผู้ป่วยปอดบวม (Pneumonia): เนื่องจากการติดเชื้อในปอดสามารถลุกลามไปยัง เยื่อหุ้มปอด ซึ่งอยู่ติดกับปอดได้
  • ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอายุเกิน 70 ปี: เนื่องจากผู้สูงอายุมีระบบภูมิคุ้มกันที่เสื่อมลงตามอายุ และมักมีโรคประจำตัวร่วมหลายโรค ทำให้ร่างกายต่อสู้เชื้อได้น้อย
  • ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดทรวงอก: ได้แก่ การผ่าตัดเปิดช่องอก (Thoracic Surgery) เช่น ผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดปอด ฯลฯ เนื่องจากมีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่โพรงเยื่อหุ้มปอดได้โดยตรง และหลังผ่าตัดบางรายอาจมีของเหลวคั่ง หรือภูมิคุ้มกันอ่อนลงช่วงพักฟื้น ส่งผลให้ติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน COPD หลอดลมโป่งพอง (bronchiectasis) โรคเหล่านี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่ 
  • ผู้ใช้ยาเสพติดทางเส้นเลือดดำ: การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือการใช้เข็มที่ไม่สะอาด อาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง และกระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ง่าย รวมถึงปอดและช่องเยื่อหุ้มปอด จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง และนำไปสู่การเกิดหนองในปอด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่แล้ว

อาการของหนองในปอด

อาการของหนองในปอดมักไม่จำเพาะ และคล้ายกับโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดหรือปอดบวมธรรมดา โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่ 

  • มีไข้ หนาวสั่น เป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง อาจมีไข้สูง หนาวสั่นร่วมด้วย
  • เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาหายใจลึกหรือไอ หนองที่สะสมในโพรงเยื่อหุ้มปอดทำให้เกิดแรงตึงและระคายเคือง เวลาหายใจเข้าลึกหรือไอ จะดึงรั้งเยื่อหุ้มปอด ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบหรือแน่น
  • หายใจลำบาก หนองที่สะสมในช่องเยื่อหุ้มปอดจะไปกดทับเนื้อปอด ส่งผลให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ทำให้หายใจไม่สะดวก เหนื่อยง่าย
  • ไอเรื้อรัง อาจมีเสมหะ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากการระคายเคืองในทางเดินหายใจและการอักเสบในปอด ในบางรายอาจไอมีเสมหะปนหนอง หรือมีเลือดปนได้ 
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เกิดจากร่างกายใช้พลังงานมากในการต่อสู้กับเชื้อ และประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง ผู้ป่วยมักไม่มีแรง หรือรู้สึกอ่อนล้าแม้ทำกิจกรรมเล็กน้อย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อเรื้อรังในร่างกาย ร่างกายมีการใช้พลังงานที่มากขึ้น และเบื่ออาหาร ทำให้น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ

หนองในปอดอันตรายไหม?

โรคหนองในปอดถือเป็นภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจาก

  • ทำให้เนื้อปอดถูกทำลายอย่างรุนแรง เกิดโพรงหรือถุงหนองภายในปอด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง
  • อาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น กระแสเลือด ซึ่งเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่รุนแรงและอาจถึงชีวิตได้
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ภาวะหายใจล้มเหลว หรือการสะสมของหนองในเยื่อหุ้มปอด 
  • ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง และบางกรณีอาจต้องรับการผ่าตัดเพื่อนำหนองออก

หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องหรือช้าเกินไป อาจทำให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้

การวินิจฉัยโรคหนองในปอด

เมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะหนองในปอด แพทย์จะตรวจ เพื่อยืนยันการวินิจฉัย และประเมินความรุนแรงของโรค โดยขั้นตอนที่พบบ่อย ได้แก่

1. เอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)

ใช้เพื่อตรวจดูว่ามีของเหลวสะสมในโพรงเยื่อหุ้มปอดหรือไม่ การเอกซเรย์จะช่วยแสดงภาพเงาที่ผิดปกติบริเวณปอด ส่วน CT Scan จะให้ภาพที่ละเอียดกว่า ช่วยให้เห็นขอบเขตของหนองในปอดชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยแยกโรคอื่นที่อาจมีอาการคล้ายกัน เช่น มะเร็งปอดหรือฝีในปอด

2. อัลตราซาวด์ทรวงอก (Thoracic Ultrasound)

เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจสอบของเหลวในโพรงเยื่อหุ้มปอด สามารถประเมินปริมาณหนอง ความหนืด การแบ่งชั้นของของเหลว หรือพังผืดได้ นอกจากนี้การอัลตราซาวด์ยังช่วยระบุตำแหน่งที่เหมาะสมในการเจาะของเหลวได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำ

3. การเจาะของเหลวจากโพรงเยื่อหุ้มปอด (Thoracentesis)

เป็นการเจาะเข็มผ่านผิวหนังเข้าสู่ช่องเยื่อหุ้มปอด เพื่อนำตัวอย่างของเหลวหรือหนองไปตรวจวิเคราะห์
การตรวจนี้มีความสำคัญมาก เพราะช่วยแยกได้ว่าเป็นของเหลวจากภาวะปอดบวมทั่วไปหรือเป็นหนองจริง 

ตัวอย่างของเหลวจะถูกนำไปเพาะเชื้อเพื่อดูว่ามีแบคทีเรียชนิดใด และตรวจค่าเคมีต่าง ๆ เช่น pH, glucose และ LDH เพื่อประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อ

4. การตรวจเลือด

แพทย์จะตรวจค่าการอักเสบในเลือด เช่น CRP (C-reactive protein) และ WBC (จำนวนเม็ดเลือดขาว) ซึ่งมักจะสูงในภาวะติดเชื้อ

นอกจากนี้ อาจมีการเพาะเชื้อจากเลือด เพื่อดูว่ามีการแพร่กระจายของเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดหรือไม่ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง

วิธีการรักษาโรคหนองในปอด

  1. การให้ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะเป็นการรักษาขั้นพื้นฐานและสำคัญที่สุด แพทย์จะเลือกใช้ยาตามชนิดของเชื้อแบคทีเรียที่ตรวจพบจากตัวอย่างหนองหรือเลือด

ตัวอย่างยาที่มักใช้ ได้แก่ Amoxicillin-Clavulanate, Piperacillin-Tazobactam, Imipenem และ Meropenem

การให้ยาจะต้องใช้ในระยะเวลานานประมาณ 2–6 สัปดาห์ เพื่อให้เชื้อแบคทีเรียถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์

ผู้ป่วยต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับเป็นซ้ำ

  1. การระบายหนองออกจากโพรงเยื่อหุ้มปอด

เนื่องจากหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอดทำให้ปอดถูกกดทับและหายใจลำบาก จึงจำเป็นต้องระบายหนองออก

  • Thoracentesis คือการใช้เข็มเจาะเพื่อดูดหนองออกมา เป็นวิธีเบื้องต้นที่ช่วยลดแรงกดทับปอดและบรรเทาอาการ
  • หากหนองมีความข้น หรือมีพังผืดที่ทำให้หนองไม่สามารถระบายออกได้หมด แพทย์อาจใช้วิธีเพิ่มเติม เช่น
    • Fibrinolytic Therapy คือการฉีดยาเพื่อช่วยละลายพังผืดที่ยึดติดในโพรงเยื่อหุ้มปอด ทำให้หนองไหลออกมาได้ดีขึ้น
    • Video-Assisted Thoracic Surgery (VATS) คือการผ่าตัดผ่านกล้องเล็กทางทรวงอก เพื่อขูดเอาหนองและพังผืดออก
    • Decortication คือการผ่าตัดเอาเยื่อพังผืดที่หนาและเกาะแน่นออกโดยตรง ซึ่งทำในกรณีที่รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ
  1. การดูแลหลังการรักษา

หลังจากการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการดูดหนองหรือการผ่าตัด ผู้ป่วยต้องพักฟื้นอย่างเพียงพอประมาณ 4–6 สัปดาห์

ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การรับประทานยา การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยให้ปอดฟื้นตัวและกลับมาทำงานได้เต็มที่

นอกจากนี้ ต้องเข้ารับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินโรค และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น พังผืดเกาะในโพรงเยื่อหุ้มปอด หรือการติดเชื้อซ้ำ

หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ขึ้นอีกครั้ง เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที

ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคหนองในปอดอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น

    • พังผืดในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Fibrosis) เมื่อมีหนองสะสมในโพรงเยื่อหุ้มปอดเป็นเวลานาน ร่างกายจะพยายามซ่อมแซม โดยสร้างเนื้อเยื่อพังผืดขึ้นมามากๆ ทำให้เยื่อหุ้มปอดหนาและแข็งตัว ส่งผลให้ปอดขยายตัวได้น้อยลง ทำให้หายใจลำบากและลดประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอด
    • ปอดแฟบ (Lung Collapse) หนองที่สะสมในโพรงเยื่อหุ้มปอดอาจกดทับปอดจนไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ จนปอดแฟบ หรือปอดยุบตัวลงบางส่วน ทำให้การหายใจผิดปกติ และลดออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย
    • ติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) หนองและเชื้อแบคทีเรียที่สะสมในช่องเยื่อหุ้มปอดสามารถลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดได้ ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงทั่วร่างกาย หรือที่เรียกว่า “ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด” ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะช็อกและอันตรายถึงชีวิตได้
    • ภาวะหายใจล้มเหลว เมื่อปอดไม่สามารถทำงานได้เต็มที่จากหนองสะสม พังผืด หรือปอดแฟบ ร่วมกับภาวะติดเชื้อรุนแรง อาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลว ต้องได้รับการช่วยหายใจหรือการรักษาในห้องไอซียู

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วกว่า ทำให้อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30–40% หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันเวลา

การป้องกันโรคหนองในปอด

แม้ว่าโรคหนองในปอดจะไม่ใช่โรคที่พบบ่อยมาก แต่ก็สามารถป้องกันได้ หากเราดูแลสุขภาพและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง ดังนี้

  1. รีบรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดบวม ไข้หวัดใหญ่ หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ หากพบว่ามีอาการไอ ไข้ หรือหายใจลำบาก ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างรวดเร็ว การรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงที่เชื้อจะลุกลามและเข้าสู่โพรงเยื่อหุ้มปอดจนเกิดหนอง
  2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรค วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนปอดบวมเป็นวัคซีนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่โรคหนองในปอด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรได้รับวัคซีนเหล่านี้ตามคำแนะนำของแพทย์
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาเสพติด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือใช้เข็มที่ไม่สะอาดเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจลุกลามเข้าสู่ปอดและโพรงเยื่อหุ้มปอดจนเกิดหนองได้ การงดใช้ยาเสพติดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนนี้
  4. งดสูบบุหรี่และดูแลสุขภาพปอดให้แข็งแรง การสูบบุหรี่ทำลายเนื้อเยื่อปอดและระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินหายใจ ทำให้ปอดอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีหรือมลพิษในอากาศ

โรคหนองในปอดเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงและอันตรายถึงชีวิต หากพบอาการไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้สุขภาพปอดกลับมาแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ไอเรื้อรัง หายใจลำบาก น้ำหนักลด สัญญาณเตือนครบ! อย่าปล่อยให้อาการแย่ลง นัดคุยกับคุณหมอเฉพาะทาง ผ่านทีม HDcare สะดวกรวดเร็ว ทันใจ หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจ รักษาโรคปอดติดเชื้อ โรคหนองในปอด จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top