ยาบำรุงเลือด ประโยชน์ วิธีใช้ ข้อควรระวัง

ยาบำรุงเลือดตามที่เราเรียกกันจนชินปาก เป็นยาที่ช่วยเสริมธาตุเหล็กในร่างกาย โดยทั่วไปแพทย์มักให้รับประทานยาบำรุงเลือดเพื่อรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก หรือภาวะที่ร่างกายเสียเลือดมาก เช่น หลังบริจาคโลหิต ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมามากผิดปกติ

นอกจากนี้ยาบำรุงเลือดยังใช้ในหญิงตั้งครรภ์เพื่อให้คุณแม่ไม่หน้ามืดเป็นลมเนื่องจากภาวะโลหิตจาง ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารกอีกด้วย หากสงสัยว่าตัวเองมีภาวะที่ควรต้องกินยาบำรุงเลือดหรือไม่ การตรวจสุขภาพกับแพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่อาจช่วยได้

ประเภทของยาบำรุงเลือด

  1. ยากลุ่มที่เป็นสารประกอบของธาตุเหล็ก (Ferrous Compound) เช่น เฟอร์รัสซัลเฟต (Ferrous Sulfate) เฟอร์รัสกลูโคเนต (Ferrous Gluconate) เฟอร์รัสฟิวมาเรต (Ferrous Fumarate)
  2. วิตามินบี 12 (Vitamin B12) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ไซยาโนโคบาลามีน (Cyanocobalamine) เช่น ไซยาโนโคบาลามีน (Cyanocobalamin) และไฮดรอกโซโคบาลามิน (Hydroxocobalamin)
  3. กรดโฟลิก (Folic acid) หรือนิยมเรียกว่า “โฟเลต (Folate)”
  4. ยากระตุ้นการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดแดง (Erythropoiesis-Stimulating Agent : ESAs) เช่น ยาอิโพอิติน (Epoetin) หรืออีพีโอ (EPO)
  5. ยากระตุ้นให้มีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดแกรนูโลไซต์ (Granulocyte Colony-Stimulating Factor : G-CSF) เช่น ยาฟิลกราสทิม (Filgrastim) เพกฟิลกราสทิม (Pegfilgrastim) ลีโนกราสทิม (Lenograstim)
  6. ยากระตุ้นให้มีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดแกรนูโลไซต์และเซลล์มาโครฟาจ (Granulocyte-Macrophage Colony-Stimulating factor : GM-CSF) เช่น ยาซาร์กรามอสทิม (Sargramostim)

ยาในกลุ่ม 1-3 มีจำหน่ายทั้งชนิดเป็นยาเดี่ยวและในรูปแบบยาบำรุงเลือดหลายชนิดผสมเป็นวิตามินรวมในเม็ดเดียว เนื่องจากการสร้างเม็ดเลือดแดงต้องอาศัยสารอาหารหลายชนิดร่วมกัน ได้แก่ ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และโฟเลต

ส่วนยาในกลุ่ม 4-6 เป็นยาเฉพาะ แพทย์จะสั่งจ่ายเฉพาะในผู้ป่วยบางรายที่มีความผิดปกติของระบบเลือด กล่าวคือ ผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง แต่ร่างกายยังสามารถสร้างเม็ดเลือดเองได้

วิธีรับประทานยาบำรุงเลือด

  • ควรรับประทานยาบำรุงเลือดเมื่อท้องว่างเพื่อให้ยาดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ดี แต่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง หรือคลื่นไส้อาเจียน ดังนั้นแพทย์ หรือเภสัชกรจึงมักแนะนำให้รับประทานหลังมื้ออาหารทันที หรือก่อนนอน เพราะจะช่วยลดอาการเหล่านั้นได้
  • ผู้ป่วยบางรายที่มีการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาบำรุงเลือดก่อนนอน เพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมกับยาบางตัว จะได้ไม่เกิดปัญหายาตีกัน
  • ปริมาณยาบำรุงเลือดที่ต้องรับประทานอาจแตกต่างกันได้ตั้งแต่ 1-3 มื้อ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้ หรือตามความรุนแรงของโรคโลหิตจางที่เป็น
  • การรับประทานยาบำรุงเลือดให้มีประสิทธิภาพ ต้องรับประทานยา หรือฉีดยาอย่างต่อเนื่อง จนกว่าแพทย์จะพิจารณาว่า ให้หยุดยาได้

ควรซื้อยาบำรุงเลือดรับประทานเองหรือไม่?

ภาวะโลหิตจางสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุและยาบำรุงเลือดก็มีหลายชนิด แต่ละชนิดใช้รักษาภาวะที่แตกต่างกัน หากสงสัยว่า ตนเองมีภาวะโลหิตจาง หรือมีอาการผิดปกติดังนี้

  • หน้ามืดเป็นลมบ่อย
  • เหนื่อยง่าย
  • เมื่อยล้า
  • ตัวซีด มือเท้าซีด
  • หนาวเย็นง่าย
  • เล็บเปราะหักง่าย
  • ป่วยบ่อย

ไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือด หรือวิตามินใดๆ มารับประทานเอง เพื่อที่จะได้ใช้ยารักษาโดยตรงกับสาเหตุของโรค และช่วยหลีกเลี่ยงภาวะเหล็กเกิน หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

หญิงตั้งครรภ์รับประทานยาบำรุงเลือดได้หรือไม่ มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?

สูตินรีแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ใช้ยาบำรุงเลือดร่วมด้วย เนื่องจากธาตุเหล็กจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือด สร้างอวัยวะต่างๆ รวมถึงสมองของทารก

นอกจากนี้ยาบำรุงเลือดยังจำเป็นสำหรับตัวคุณแม่เอง เนื่องจากเด็กทารกในครรภ์จะดูดซึมธาตุเหล็กจากแม่ไปใช้ หากร่างกายแม่ได้รับปริมาณธาตุเหล็กเท่าเดิมตามที่ร่างกายเคยได้รับ ร่างกายอาจเกิดภาวะขาดธาตุเหล็ก ทำให้มีอาการหน้ามืด เป็นลม และเกิดอันตรายได้

อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์และฝากครรภ์เมื่อตั้งครรภ์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เนื่องจากชนิดและปริมาณยาที่ได้รับอาจมาก หรือน้อยเกินไป อาจทำให้มีผลกระทบต่อแม่และลูกในครรภ์ได้

ยาบํารุงเลือดที่ได้รับหลังบริจาคเลือดช่วยอะไรได้บ้าง จำเป็นต้องรับประทานหรือไม่?

ซองบรรจุยาเม็ดยาสีแดงที่จะได้รับหลังบริจาคเลือดกับสภากาชาดไทย คือ ยาเสริมธาตุเหล็กชนิดวิตามินรวม ประกอบด้วยเฟอร์รัสฟิวมาเรต (Ferrous Fumarate) 200 มิลลิกรัม วิตามิน B1 วิตามิน B12 วิตามิน C และเกลือแร่ รวมอยู่ในเม็ดเดียวกัน

การนำวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดมารวมกันนั้นเพื่อช่วยในการดูดซึมและกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยาบำรุงเลือดที่ได้จากการบริจาคเลือดบางแห่งอาจแตกต่างจากนี้ได้ แต่โดยรวมแล้วก็คือ ยาที่ให้สำหรับเสริมธาตุเหล็กเหมือนกัน

จากข้อมูลของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พบว่า การบริจาคเลือดแต่ละครั้ง ผู้บริจาคจะเสียธาตุเหล็กไปประมาณ 350-450 มิลลิลิตร แม้ปริมาณเท่านี้จะไม่ได้ทำให้ร่างกายเกิดอันตราย แต่ก็ควรจะได้รับธาตุเหล็กชดเชยส่วนที่สูญเสียไป

นอกจากนี้การบริจาคเลือดต้องไม่ทำบ่อยเกินกว่า 3 เดือน/ครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะผู้หญิงจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซีด หรือโลหิตจางได้ง่ายกว่าผู้ชาย เนื่องจากการมีประจำเดือนทุกเดือนด้วย

นอกจากกินยาบำรุงเลือดแล้ว ผู้บริจาคเลือดควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงร่วมด้วย เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ผักใบเขียว ธัญพืช และอาหารทะเล เป็นต้น

ยาบํารุงเลือดเม็ดสีแดงกับเม็ดสีเหลืองแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร?

ยาบำรุงเลือดเม็ดสีแดง ประกอบไปด้วยเฟอร์รัสฟิวมาเรต (Ferrous Fumarate) 200 มิลลิกรัม วิตามิน B1 B12 วิตามิน C และเกลือแร่ รวมอยู่ในเม็ดเดียวกัน

ในขณะที่ยาบำรุงเลือดเม็ดสีเหลืองกลม ผิวด้าน ขนาดเล็ก เป็นกรดโฟลิก หรือที่เรียกว่า “โฟเลต” เป็นตัวยาคนละตัวกัน

ยาเม็ดสีเหลืองมันวาวเคลือบน้ำตาล ที่หลายคนเข้าใจว่า เป็นยาบำรุงเลือด แต่แท้จริงแล้วเป็นวิตามินบีรวม

วิตามินบีรวม 1 เม็ด จะมีปริมาณวิตามินใกล้เคียงกับที่ควรได้รับต่อวัน ประกอบด้วย วิตามินบี 1 บี 2  บี 3 บี 5 บี 6 บี 7 บี 9  และบี 12 โดยไม่ได้มีส่วนประกอบของธาตุเหล็กตามที่เข้าใจกัน แต่ก็เป็นวิตามินรวมที่ร่างกายต้องการ และมีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม วิตามินทุกตัวตามที่กล่าวมาล้วนมีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดทั้งสิ้น แพทย์ หรือเภสัชกรส่วนใหญ่ อาจพิจารณาจ่ายตัวใดตัวหนึ่ง หรือจ่ายควบคู่กันทั้ง 2 ตัว ขึ้นอยู่กับภาวะโรคที่ผู้ป่วยเป็น

ข้อควรระวังในการรับประทานยาบำรุงเลือด

  • การใช้ยาบำรุงโลหิตในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจาการได้รับยาเกินขนาดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาลีโวไทโรซีน (Levothyroxine) ภายใน 4 ชั่วโมง ภายหลังการให้ยาบำรุงเลือด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาบำรุงเลือดในผู้ป่วยโรคฮีมาโครมาโทซิส (Hemachromatosis) เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายเป็นพิษจากภาวะธาตุเหล็กเกิน
  • ควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรให้ทราบถึงยาอื่นๆ ที่กำลังใช้อยู่ เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลต่อการเพิ่ม หรือลดระดับของธาตุเหล็กในร่างกาย หรือเกิดการตีกันของยาได้
  • ไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดรับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง

ยาบำรุงเลือดแม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรศึกษาวิธีใช้ให้ดีทุกครั้งก่อนรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ ให้นมบุตร มีโรคเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร ทุครั้งก่อนการใช้ยาเพื่อความปลอดภัย


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

Scroll to Top