รวมยาแก้แพ้อากาศ ความแตกต่าง พร้อมข้อดี ข้อเสีย

การรับประทานยาแก้แพ้ เป็นวิธีรักษาโรคภูมิแพ้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยยาแก้แพ้ที่คุณคุ้นเคยกันนั้นมีหลายประเภท ทำให้หลายครั้งจึงทำให้เกิดความสับสนว่า แล้วสุขภาพกับลักษณะโรคภูมิแพ้ของคุณเหมาะกับยาตัวไหนกันแน่ ดังนั้นวันนี้เราลองมาเปรียบเทียบถึงความแตกต่างของยาแก้แพ้แต่ละชนิดกัน

ยาแก้แพ้สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด แต่ยาที่เป็นที่แพร่หลาย และผู้ป่วยมักจะได้รับเพื่อใช้ในการรักษามากที่สุดมักจะเป็น “ยาแก้ฮิสตามีน (Ainihistamine)” ซึ่งยาชนิดนี้จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามลักษณะการออกฤทธิ์

1. ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มแรก หรือกลุ่มดั้งเดิม (First Generation Antihistamine)

เป็นยาต้านฮิสตามีนรุ่นแรก มีประสิทธิภาพในการลดการหลั่งของสารฮิสตามีนสูง ผ่านโมเลกุลของยาขนาดเล็กที่จะซึมผ่านเยื่อกั้นสมอง (Blood Brain Barrier) เข้าไปจับตัวรับฮิสตามีนภายในสมอง

แต่ด้วยโมเลกุลของตัวยาที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้ยาซึมผ่านเข้าสมองได้ง่าย และทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาคือ ทำให้ผู้ป่วยง่วงซึม อ่อนเพลีย ตาพร่าเบลอ  นอกเหนือจากอาการง่วง โมเลกุลยาของยาต้านฮิสตามีนกลุ่มที่ 1 ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ซึ่งได้แก่

  • ผิวหนังแห้ง
  • ปากคอแห้ง
  • ตาแห้ง
  • ตาพร่า
  • ม่านตาขยาย
  • ท้องผูก
  • ปัสสาวะขัดในเพศชาย
  • หัวใจเต้นเร็ว

ด้วยเหตุที่ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มนี้ทำให้งวงซึม จึงทำให้ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มแรกมักถูกใช้เป็นยานอนหลับสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการนอนหลับด้วย

2. ยาด้านฮิสตามีนกลุ่มใหม่ (New Generation Antihistamine) 

เป็นยาต้านฮิสตามีนรุ่นแรกที่ถูกนำไปพัฒนาต่อ จนไม่สามารถเข้าไปรบกวนระบบประสาทส่วนกลางข้างในสมองได้มากเท่ายารุ่นดั้งเดิม จึงทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกง่วงซึมมากนัก เนื่องจากมีโมเลกุลของยาขนาดใหญ่ขึ้น ละลายไขมันได้น้อยลง และนอกจากสามารถขจัดอาการง่วงแล้ว ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มใหม่ยังไม่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารอะเซทิลโคลีน (Acethlcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่คอยควบคุมดูแลเกี่ยวกับกลไกการรับความรู้สึก การรับรสชาติ การนอนหลับ และภาวะซึมเศร้าด้วย

ข้อมูลยาต้านฮิสตามีนทั้ง 2 ชนิด

ยาต้านฮิสตามีนทั้ง 2 ชนิดมีข้อบ่งใช้ ขนาดการใช้ และข้อควรระวังดังตารางต่อไปนี้

1. กลุ่มยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิม

กลุ่มยาต้านฮิสตามีนดั้งเดิมมีด้วยกันหลักๆ 4 ประเภท มีความแตกต่างกันออกไป ดังนี้

ไซโพรเฮปทาดีน (Cyproheptadine)

เป็นยาที่ใช้สำหรับต้านอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคัน ลมพิษ น้ำมูกไหลขนาดการใช้ยาอยู่ที่ 4 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง ยามีผลข้างเคียงหนึ่งคือ เพิ่มความอยากอาหาร จึงมีการใช้ยานี้เพื่อเพิ่มความอยากอาหารในเด็ก อย่างไรก็ตามข้อบ่งใช้นี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์

ไดเมนไฮดรามีน (Dimenhydramine) / ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate)

เป็นยาที่ใช้สำหรับต้านอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคัน ลมพิษ น้ำมูกไหลขนาดการใช้ยาอยู่ระหว่าง 50-100 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง ยานี้มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ จึงนิยมใช้ยาในข้อบ่งใช้นี้มากกว่า

ไฮดรอกซีซีน (Hydroxyzine)

เป็นยาที่ใช้สำหรับต้านอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคัน ลมพิษ น้ำมูกไหลขนาดการใช้ยาอยู่ระหว่าง 50-100 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง

เนื่องจากยามีฤทธิ์ทำให้ง่วงสูง จึงพบว่ามีการใช้ยานี้เพื่อช่วยให้หลับ เช่น ในผู้ที่อยู่ในระหว่างการเดินทางบนเครื่องบิน หรือในผู้ป่วยที่มีภาวะวิตกกังวล และต้องการทำให้หลับ หรือในรายที่มีอาการแพ้ และหวังผลให้ผู้ป่วยหลับ

คลอร์เฟนิรามีน (Clorpheniramine)

เป็นยาที่ใช้สำหรับต้านอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคัน ลมพิษ น้ำมูกไหล ขนาดการใช้ยาอยู่ระหว่าง 50-100 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง นิยมใช้ลดน้ำมูกในผู้ป่วยโรคหวัด

ข้อควรระวังของกลุ่มยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิม

กลุ่มยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิม (Clorpheniramine, Dimenhydramine, Dimenhydrinate, Hydroxyzine, Cyproheptadine) จะมีข้อควรระวังและผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ในการใช้ยาใกล้เคียงกัน ดังต่อไปนี้

  • มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของอะเซทิลโคลีนสูง จึงทำให้เกิดอาการ ผิวหนังแห้ง ปากคอแห้ง ตาแห้ง ตาพร่า ม่านตาขยาย ท้องผูก ปัสสาวะขัดในเพศชาย
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในผู้สูงอายุ และผู้ป่วยต่อมลูกหมากโต เนื่องจากยาส่งผลต่อการปัสสาวะ
  • ยามีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือใช้เครื่องจักรในระหว่างใช้ยานี้เนื่องจากทำให้สมรรถนะในการทำงานดังกล่าวลดลง และอาจเกิดอุบัติเหตุได้

2. กลุ่มยาต้านฮิสตามีนกลุ่มใหม่

กลุ่มยาต้านฮิสตามีนดั้งเดิมมีด้วยกันหลักๆ 3 ประเภท มีความแตกต่างกันออกไป ดังนี้

ลอราทาดีน (Loratadine)

เป็นยาใช้สำหรับต้านอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคัน ลมพิษ น้ำมูกไหล ขนาดการใช้ยาคือ 10 มิลลิกรัม วันละครั้ง (Aerius ขนาด 5 มิลลิกรัม กินครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง) นอกจากนี้ เดสลอราทาดีน (Desloratadine) นิยมใช้เป็นยาสำหรับบรรเทาอาการแพ้ด้วยเช่นเดียวกัน เช่น Aerius

เซทิริซีน (Cetirizine)

เป็นยาใช้สำหรับต้านอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคัน ลมพิษ น้ำมูกไหล ขนาดการใช้ยาคือ 10 มิลลิกรัม วันละครั้ง หรือ 5 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

เฟกโซเฟนาดีน (Fexofenadine)

เป็นยาใช้สำหรับต้านอาการแพ้ เช่น การเกิดผื่นคัน ลมพิษ น้ำมูกไหล แต่ข้อจำกัดคือยาไม่สามารถผ่านเยื่อกั้นสมองได้ จึงนิยมใช้ยานี้ในนักบิน หรือผู้มีอาชีพที่การง่วงมีความเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง

ข้อแตกต่างจากยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิม

ผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงน้อยลงอย่างมากเมื่อเทียบกับยาในรุ่นแรก และไม่มีฤทธิ์ anticholinergic แบบในรุ่นแรก

ความแตกต่างระหว่างยาแก้แพ้เม็ดสีขาว สีเหลือง และสีฟ้า

ความจริงแล้วสีของเม็ดยานั้นเป็นเพียงเครื่องมือช่วยจำชนิดหนึ่งเท่านั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาจำนวนมาก หรือต้องรับประทานยาคนละกลุ่มกัน แต่สิ่งที่คุณจะต้องจำก็คือ ตัวยา และประเภทของยาที่บรรจุอยู่ข้างในแคปซูล หรือเม็ดยาต่างหาก เช่น

  • ยาแก้แพ้เม็ดสีเหลือง ที่เป็นที่รู้จักคือ คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ซึ่งจัดเป็นยาแก้แพ้ในกลุ่มที่ 1
  • ยาแก้แพ้เม็ดสีฟ้า ที่เป็นที่รู้จักคือ เดสลอราทาดีน (Desloratadine) แอเรียส (Aerius) ซึ่งจัดเป็นยาแก้แพ้ในกลุ่มที่ 2
  • ยาแก้แพ้เม็ดสีขาว ที่มีวางจำหน่ายนั้น มีหลายแบบดังนี้
    1. เซทิริซีน (Cetirizine)
    2. ลอราทาดีน(Loratadine) ยากลุ่มนี้จัดเป็นยาแก้แพ้กลุ่มที่ 2
    3. ไฮดรอกซีซีน (Hydroxyzine) ยากลุ่มนี้จะจัดเป็นยาแก้แพ้ในกลุ่มที่ 1

คุณไม่ควรจำแค่สียาเพียงอย่างเดียว เพราะข้อมูลเกี่ยวกับยาข้างในจะช่วยคุณได้ หากคุณต้องไปพบแพทย์ฉุกเฉิน และให้ข้อมูลว่า กำลังรับประทานยาอะไรอยู่บ้าง หรือหากไม่ทราบชื่อยา ก็ให้สอบถามกับแพทย์ที่รักษาโดยตรง หรือสอบถามเภสัชกรถึงชื่อยาตัวนั้น เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง

Scroll to Top