เมื่อเราพูดถึง เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) เชื่อได้ว่าน่าจะมีทั้งคนที่รู้จัก และคนที่ไม่รู้จัก เบกกิ้งโซดามีลักษณะเป็นผงผลึกสีขาว สามารถนำไปทำประโยชน์ได้หลายอย่าง
หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าเจ้าผงเบกกิ้งโซดาเหมือนกับผงฟู หรือเป็นผงชนิดเดียวกันรึเปล่า ดังนั้นเราลองมาทำความรู้จักเบกกิ้งโซดาให้มากขึ้นว่า ผงชนิดนี้นำมาใช้ทำอะไร และมีประโยชน์อย่างไร
สารบัญ
ควาหมายของเบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า “โซดาทำขนม” มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า “โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate)” โดยเบกกิ้งโซดานั้นเป็นเพียงส่วนประกอบที่อยู่ในผงฟู แต่ไม่ใช่ผงฟู
เบกกิ้งโซดามีลักษณะเป็นผลึกสีขาว มีรสเค็มคล้ายโซเดียมคาร์บอเนต เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำ และกรดอ่อนๆ ที่ได้มาจากส่วนผสมต่างๆ ก็จะทำให้เกิดฟองก๊าซขึ้นมา เบกกิ้งโซดาจึงถูกนำมาเป็นส่วนผสมในผงฟูนั่นเอง
ดังนั้นเมื่อเรานำเอาผงฟูใส่ลงไปในขนมปังแล้วเข้าเตาอบ จึงทำให้ขนมปังของเราดูฟู สวยงาม น่าอร่อย หรืออย่างในเค้กที่มีส่วนผสมเป็นผลไม้ซึ่งค่อนข้างมีความเป็นกรด
ตัวอย่างให้เห็นชัดเจน คือ เค้กกล้วยหอม เมื่ออบเสร็จแล้วก็จะฟู ดูน่ารับประทาน แต่ขอแนะนำไว้ว่า ส่วนผสมในขนมของเราต้องมีความเป็นกรดก่อน เบกกิ้งโซดาถึงจะทำปฏิกิริยา และหากเราใส่เบกกิ้งโซดาในปริมาณที่มากจนเกินไป ก็จะทำให้ขนมของเรามีรสชาติเฝื่อน ไม่อร่อย
ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา
นอกจากเบกกิ้งโซดาจะมีประโยชน์ในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของขนมเบเกอรี่ประเภทต่างๆ แล้ว เบกกิ้งโซดา ก็ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย เช่น
- ผสมเป็นน้ำยาล้างสารพิษในผัก และผลไม้ ผสมเบกกิ้งโซดา ½ ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่าในปริมาณ 10 ลิตร จากนั้นนำผลไม้ หรือผักแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา 2 ครั้ง จะช่วยกำจัดสารพิษที่ติดอยู่บริเวณเปลือก หรือผิวของผักและผลไม้ออกได้ 90%
- ทำความสะอาดเขียง ช่วยทำให้เขียงหมดกลิ่นคาวไปได้อย่างหมดจด โดยผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำธรรมดา ใช้สำหรับทำความสะอาดเขียงหลังจากใช้งาน
- ทำความสะอาดผัก และผลไม้ ผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำอุ่น 4 ถ้วย ใช้สำหรับล้างผัก และผลไม้โดยการเอาแช่ทิ้งไว้สักครู่ เรียกว่าเป็นการรอให้ส่วนผสมเย็นตัวก่อน จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำธรรมดา จะช่วยทำให้ผัก และผลไม้ดูสะอาด น่ากินมากยิ่งขึ้น
- หมักหมูให้นุ่ม แนะนำว่าให้ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในหมูขณะที่กำลังหมักเพียงนิดหน่อยเท่านั้น หากใส่ลงไปมากอาจทำให้มีกลิ่นสารเคมีได้ เสียทั้งกลิ่นหอมของอาหาร และทำให้รสชาติหมูไม่อร่อยด้วย
สูตรหมักหมูนุ่มโดยใช้เบกกิ้งโซดา
สิ่งที่ต้องเตรียม
- ผงเบกกิ้งโซดา (1/2 ช้อนชา)
- เนื้อหมูสันใน หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอคำ (ประมาณ 200 กรัม)
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- แป้งมัน
- ซอสถั่วเหลือง
- น้ำตาลทราย
- น้ำมันหอย
วิธีการทำ
- เริ่มต้นด้วยการใส่แป้งมันลงไปในหมูที่เตรียมไว้ประมาณ 3 ขีด ในอ่างผสม ใช้แป้งมันประมาณ 1 ช้อนชา ตามด้วยผงเบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป
- ปรุงรส และเพิ่มความนุ่มของเนื้อหมูด้วยซอสถั่วเหลืองกับน้ำมันหอย แนะนำว่า ไม่ควรใส่เยอะ เพราะเมื่อเวลาเรานำหมูไปปรุงอาหารจะทำให้มีรสชาติจัดเกินไป ใส่เพื่อให้พอมีรสชาติเพียงเล็กน้อย เมื่อใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงไปแล้ว ก็คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- เมื่อผสมเครื่องปรุงทุกอย่างได้ที่เข้ากันดีแล้ว ให้หากล่อง หรือภาชนะที่ฝาปิดสำหรับใส่หมูหมัก จากนั้นนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นก็เป็นอันเสร็จ สามารถนำมาปรุงอาหารที่เราต้องการได้อย่างสะดวกแนะนำว่า ให้หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน ก็จะได้หมูที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม นำมาปรุงเป็นอาหารแบบไหนก็อร่อย
ผิวสวยใสด้วยเบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดาสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องประทินผิว ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าได้ เนื่องจากคุณสมบัติที่เหมือนเม็ดบีดส์สครับเนื้อละเอียด เบกกิ้งโซดายังช่วยให้เนียนใสได้ โดยมี 2 สูตรที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
1. สูตรเบกกิ้งโซดา และโยเกิร์ต
คนที่มีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยนบนผิวหน้ามาก แนะนำให้ใช้สูตรเบกกิ้งโซดาผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยละลายหัวสิวที่ผุดขึ้นมา จนทำให้ผิวสัมผัสไม่เรียบเนียน
การผสมวัตถุดิบทั้งสองใช้อัตราส่วนโยเกิร์ต 2 ส่วนผสมกับเบกกิ้งโซดา 1 ส่วน คนให้เข้ากัน แล้วนำไปพอกเอาไว้ให้ทั่วใบหน้า เน้นตรงจุดที่เป็นสิวเสี้ยน
หลังจากนั้นขัดถูเบาๆ เพื่อช่วยกำจัดเอาสิวเสี้ยนที่โผล่ออกมาให้หลุดออกไปมากที่สุด ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าตามปกติ
2. สูตรเบกกิ้งโซดา มะขามเปียก และน้ำผึ้ง
สำหรับสูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้ผิวใส ลดรอยด่างดำ และเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยน้ำผึ้ง ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำมะขามเปียกที่คั้นจนเหนียวข้น และน้ำผึ้งอีกเล็กน้อย นำมาคนให้จนส่วนผสมรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน
พอกลงไปบนผิวหน้า และผิวกายในจุดที่ต้องการ ขัดวนเป็นวงกลมอย่างเบามือประมาณ 5 นาที แล้วทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่าจนเกลี้ยง แล้วค่อยซับผิวหน้าให้แห้ง โดยไม่จำเป็นต้องล้างด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแต่อย่างใด
ข้อควรระวังในการใช้เบกกิ้งโซดา
ผงเบกกิ้งโซดา และ ผงฟู เป็นผงคนละชนิดกัน แต่ก็มีประโยชน์ในการใช้งานที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นคุณจึงต้องแบ่งแยกให้ออกระหว่างผงทั้ง 2 ชนิดนี้
- อย่าใส่ขนมเยอะเกินไป สิ่งที่ผู้ใช้ต้องระวังก็คือ หากใส่มากจนเกินไปจะทำให้มีรสชาติของสารเคมี ขนมดูไม่อร่อย ดังนั้นจึงควรใส่เบกกิ้งโซดาแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อให้ผงชนิดนี้เข้าไปทำปฏิกิริยากับส่วนผสมอื่นๆ เพียงเท่านั้น
- ไม่ควรใส่เยอะหากต้องการล้างผัก หากนำผงเบกกิ้งโซดาไปใช้ล้างสารเคมีในผัก และผลไม้ก็ไม่ควรใช้เยอะจนเกินไป เพราะผงจะเข้าไปกัดผิวของผัก และผลไม้ และแทรกซึมลงไปในเนื้อ เมื่อนำมาปรุงอาหาร หรือรับประทานเปล่าก็จะมีรสชาติที่ไม่อร่อย อีกทั้งอาจสะสมในร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว
การนำเบกกิ้งโซดามาประกอบอาหาร หรือใช้ในครัวก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องไม่ทำเกินกว่าที่รายละเอียดกำหนดเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย และไม่ให้เกิดรสชาติ และกลิ่นหอมๆ ของอาหารนั้นเปลี่ยนแปลงเกินไป