ในบางครั้ง สัญญาณที่บอกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณก็คือ อาการเสียงแหบ หรือเสียงหาย จนต้องกระแอมเพื่อให้เสียงออกมา
แน่นอนว่า อาการเสียงหายย่อมจะส่งผลต่อการพูด และการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงาน แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เสียงขาดหายไป
สารบัญ
สาเหตุที่ทำให้เสียงหาย
สาเหตุที่ทำให้เสียงหายสามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยจากพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง และปัจจัยด้านสุขภาพ
ปัจจัยจากพฤติกรรมของผู้ป่วย
1. ใช้เสียงมากเกินไป
ในแต่ละครั้งที่คุณพูด ตะโกน หรือร้องเพลง คุณต้องใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนในการออกเสียง ซึ่งรวมถึงกล้ามเนื้อในปาก และลำคอด้วย
อย่างไรก็ตาม กล้ามเนื้อเหล่านี้มีความเหมือนกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ของร่างกายตรงที่หากเราใช้งานมากเกินไป มันก็สามารถทำให้คุณอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อตึง และบาดเจ็บ หากใช้ผิดวิธี มันก็สามารถทำให้คุณเสียงแหบเช่นกัน เช่น
- พูด ร้องเพลง ตะโกน หรือไอมากเกินไป
- ใช้ระดับเสียงสูง หรือต่ำกว่าเสียงที่คุณพูดตามปกติ
- วางโทรศัพท์ระหว่างศีรษะ และหัวไหล่
2. สูบบุหรี่
ควันบุหรี่สามารถไปรบกวนเส้นเสียง และทำให้คุณมีปัญหากับเสียงในระยะยาวได้ ผู้ที่สูบบุหรี่ ทั้งเลิกแล้ว และยังคงสูบอยู้จนถึงปัจจุบันฃมีแนวโน้มที่จะมีเสียงผิดปกติมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่มากถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดติ่งเนื้อเล็กๆ ที่ไม่ใช่ก้อนมะเร็งบนเส้นเสียงด้วย และสามารถทำให้โทนเสียงต่ำลง พูดแบบมีเสียงลมหายใจ และเสียงแหบ
ปัจจัยด้านสุขภาพ
1. โรคไข้หวัด
โรคไข้หวัดสามารถทำให้คอของคุณอักเสบ และทำให้รู้สึกเจ็บคอ นอกจากนี้ เส้นเสียงของคุณก็อาจบวมอักเสบได้ด้วย และส่งผลต่อการสั่นของเส้นเสียง จนทำให้คุณมีเสียงแหบได้นั่นเอง
ดังนั้นในระหว่างที่คุณป่วยเป็นไข้หวัด ให้คุณลดการใช้เสียง ดื่มน้ำให้มากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งเสียงของคุณจะกลับมาเมื่อร่างกายเริ่มฟื้นตัว
2. โรคภูมิแพ้
เมื่อคุณคิดถึงโรคภูมิแพ้ คุณอาจคิดถึงอาการน้ำมูกไหล คันดวงตา และจาม แต่ความจริงแล้วมันสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเสียงของคุณได้หลายทาง เช่น
- ทำให้เส้นเสียงบวม
- น้ำมูกที่ไหลลงคอทำให้เส้นเสียงเกิดการระคายเคือง
- การไอ และการกระแอมคอสามารถทำให้เส้นเสียงตึง
- การรับประทานยาต้านฮีสตามีนสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ซึ่งสามารถทำให้เมือกในคอแห้ง ส่งผลให้เป็นอันตรายต่อเส้นเสียง
3. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการข้อต่อบวม และแข็ง อีกทั้งมีผู้ป่วยกว่า 1 ใน 3 ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และมีปัญหาเกี่ยวกับเสียง ซึ่งหมายความรวมถึงอาการเจ็บคอ และไม่มีเสียงด้วย
สาเหตุที่เป็นชั้นนั้นก็เพราะว่า อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถส่งผลต่อข้อต่อเล็กๆ ในใบหน้า และคอ ซึ่งนำไปสู่การเกิดปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ และระบบการทำงานของเส้นเสียงนั่นเอง
4. มีปัญหากับต่อมไทรอยด์
ต่อมไทรอยด์มีลักษณะคล้ายกับผีเสื้อซึ่งอยู่ภายในคอส่วนล่าง มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการทำงานหลายอย่างในร่างกาย
หากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมาน้อย หนึ่งในอาการที่คุณจะประสบ ก็คือ มีเสียงแหบ หรือหากต่อมไทรอยด์มีขนาดใหญ่ขึ้น คุณก็อาจมีอาการเสียงแหบได้เช่นกัน ร่วมกับมีอาการไอเรื้อรัง กลืนอาหารลำบาก หายใจไม่สะดวก
5. โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
การเป็นโรคที่ส่งผลต่อระบบประสาทอย่างโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) สามารถส่งผลต่อกล้ามเนื้อใบหน้า และกล้ามเนื้อคอ ผู้ป่วยโรคนี้เกือบ 90% จึงมีความผิดปกติเกี่ยวกับการพูด หรือออกเสียง
นอกจากนี้ โรคพาร์กินสันยังทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว และการประสานงานทำงานได้แย่ลง ส่งผลให้คุณไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการพูดได้
6. โรคมะเร็งกล่องเสียง
การมีเสียงแหบ เสียงหาย ร่วมกับมีอาการหายใจลำบาก คลำพบก้อนในคอ ปวดหู มีเสมหะปนเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งกล่องเสียงได้
โรคมะเร็งกล่องเสียงสามารถลุกลามไปถึงหลอดอาหารจนทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ รวมถึงอาจแพร่ไปถึงปอด หัวใจ สมอง ทางที่ดีหากคุณพบว่า ตนเองเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งกล่องเสียง ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการทันที
นอกจากนี้ การรับประทานยาบางชนิด ก็อาจทำให้เกิดอาการเสียงหายได้ เช่น ยาขับปัสสาวะ การรับประทานวิตามินเกินปริมาณ ยาพ่นจมูกสำหรับโรคภูมิแพ้
อาการเสียงหายมีวิธีรักษาได้ไม่ยาก เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำในอุณหภูมิห้องอย่างสม่ำเสมอ อย่าฝืนใช้เสียงมากเกินไป แค่นี้อาการเสียงหายก็จะกลับค่อยๆ บรรเทาลง
แต่หากอาการเสียงหายยังไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการอีกครั้ง