วิตามินดี คืออะไร? ประโยชน์ วิธีใช้ ผลข้างเคียง อันตราย

วิตามิน D เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและถูกเก็บไว้ในชั้นเนื้อเยื่อไขมัน อาจเรียกกันว่า “วิตามินแสงแดด” เพราะร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีด้วยตัวเองจากการสัมผัสแสงแดด รวมทั้งอาจได้จากการรับประทานอาหารบางชนิด การใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินดี

วิตามิน D ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างกระดูก นอกจากนี้ยังช่วยเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ  หัวใจ ปอด และสมอง รวมทั้งทำหน้าที่อีกหลายอย่าง

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่า ขาดวิตามินดี ทำให้มีโอกาสเกิดความผิดปกติต่างๆ ตามมาได้

วิตามิน D 

วิตามิน D เป็นสิ่งสำคัญในร่างกายตามอ้างอิงของสำนักงานสาธารณสุขด้านอาหารเสริม (THE NATIONAL INSTITUTES OF HEALTH OFFICE OF DIETARY SUPPLEMENTS (NIHODS)) ดังนี้

  • วิตามิน Dช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียม ทำให้สามารถรักษากระดูกให้แข็งแรง
  • วิตามิน D ยังเป็นสิ่งจำเป็นของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของเส้นประสาทต้องการวิตามิน D เป็นสื่อระหว่างสมองและร่างกาย
  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต้องการวิตามิน D ที่จะต่อสู้เชื้อแบคทีเรียและไวรัส และวิตามิน D พบได้ในเซลล์ทั่วไปในร่างกาย

วิตามิน D จะรับเข้าสู่ร่างกายได้ 3 วิธี ได้แก่

  • ผ่านทางผิวหนัง (แสงแดดเป็นตัวช่วย)
  • การรับประทานอาหาร เช่น ไข่แดง ปลาทะเล น้ำมันตับปลา ตับ นม ซีเรียลเติมวิตามิน D
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามิน D

วิตามิน D มีความสัมพันธ์กับภาวะโรคหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ multiple sclerosis) โรคมะเร็งบางชนิด โรคกระดูกผิดปกติ ความดันโลหิตสูง

ใครบ้างที่ควรเสริมวิตามิน D 

  • ผู้สูงอายุ
  • เด็กทารกที่กินนมแม่
  • คนผิวสีเข้ม
  • คนที่มีภาวะโรคบางอย่าง เช่น โรคตับ โรคปอดเรื้อรัง ผู้มีอาการลำไส้อักเสบ (Crohn’s Disease)
  • คนอ้วน
  • คนที่ได้รับการผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร

วิตามิน D และวิตามิน D3

วิตามิน D ในรูปแบบอาหารเสริมมีดังนี้:

  • วิตามิน D3 (cholecalciferol) เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามิน D ที่ร่างกายสร้างจากแสงแดด ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมักทำจากไขมันจากขนลูกแกะ
  • วิตามิน D2 (ergocalciferol) ไม่ได้สร้างจากร่างกายคนตามธรรมชาติ แต่มาจากเชื้อราที่โดนฉายรังสี

อาหารเสริมอาจมีวิตามิน D3, D2 หรือทั้งสองอย่าง ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากนิยมวิตามิน D3 มากกว่า D2 เพราะเชื่อว่า มีหลักฐานแสดงประโยชน์ชัดเจน แต่มีการศึกษาพบว่า วิตามิน D2 ก็มีคุณสมบัติที่ใช้ได้เช่นกัน

ภาวะขาดวิตามิน D

ภาวะขาดวิตามินดีเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่ได้รับวิตามินดีเพียงพอ ภาวะที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดีคือ มีผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นโรคอ้วน หรือมีผิวคล้ำ

การขาดวิตามิน D รุนแรงอาจนำไปสู่การเกิดโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) (ภาวะที่กระดูกอ่อนแอและเปราะบางในผู้ใหญ่) หรือโรคกระดูกอ่อน (rickets) (เป็นภาวะที่กระดูกอ่อนตัวและอ่อนแอในเด็ก)

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการขาดวิตามินดีอาจเชื่อมโยงกับเงื่อนไขอื่นๆ รวมทั้งโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด ความจำเสื่อม ภาวะซึมเศร้า และโรคภูมิต้านทานบางอย่างผิดปกติ

ทั้งนี้การทดสอบภาวะขาดวิตามิน D ทำได้โดยการตรวจเลือด

คำเตือนสำหรับวิตามิน D

วิตามิน D อาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังได้ ควรแจ้งแพทย์หากมีอาการแพ้ใด ๆ ก่อนที่จะรับประทานอาหารเสริมตัวนี้ นอกจากนี้วิตามินดียังอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้นหากเป็นโรคเบาหวาน หรือเริ่มมีภาวะเบาหวาน ไม่ควรรับประทานนวิตามินดี

ควรแจ้งแพทย์ถ้าคุณมี หรือเคยมีภาวะโรคดังต่อไปนี้:

  • ความดันโลหิตสูง หรือต่ำ
  • ปัญหาไตและนิ่วในไต
  • ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • โรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดอื่น ๆ
  • ความผิดปกติของปอด
  • ปัญหาต่อมไทรอยด์
  • โรคตับ
  • อาการปวดศีรษะบ่อย
  • ปัญหากระเพาะอาหาร
  • ความผิดปกติของผิวหนัง
  • ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและกระดูก

ภาวะวิตามิน D เป็นพิษ

นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ปริมาณที่มากเกินไปของวิตามิน D ในร่างกาย สามารถก่อให้เกิดพิษได้ ภาวะนี้มักเกิดขึ้นถ้ารับประทานวิตามิน D 40,000 หน่วยสากล (IU) หรือมากกว่า/วัน เป็นเวลาหลายเดือน และสามารถเกิดขึ้นหลังจากรับประทานวิตามิน D ในปริมาณมากเพียงครั้งเดียว

ภาวะวิตามิน D เป็นพิษอาจนำไปสู่ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcemia) ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงตามมา เช่น ภาวะไตวาย หัวใจเต้นผิดปกติและอาการโคม่า

โดยปกติคนจะไม่เกิดภาวะวิตามิน D เป็นพิษจากการตากแดดมากไป หรือจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามิน D มากไป

วิตามิน D และภาวะซึมเศร้า

มีการศึกษาทางคลินิกจำนวนมากแสดงความเชื่อมโยงระหว่างระดับของวิตามิน D ต่ำในเลือดและอาการของภาวะซึมเศร้า แต่การศึกษาอื่น ๆ ได้แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ผสมผสาน ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างภาวะซึมเศร้าและวิตามิน D

วิตามิน D และการลดน้ำหนัก

มีงานวิจัยแสดงให้เห็นถึงการเสริมวิตามิน D อาจช่วยในการลดน้ำหนัก การศึกษาล่าสุดจากมหาวิทยาลัยมิลาน ประเทศอิตาลี ได้ติดตามผู้ที่มีน้ำหนักเกินและมีโรคอ้วน ซึ่งรับประทานอาหารทีมีแคลอรี่ต่ำ ผู้เข้าร่วมวิจัยที่รับประทานอาหารอาหารเสริมวิตามิน D จะมีน้ำหนักและรอบเอวที่ลดลงมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารอาหารเสริมวิตามิน D และรับประทานอาหารอาหารแหล่งอื่น ๆ

มีอาหารจากธรรมชาติเพียงไม่กี่ชนิดที่มีส่วนประกอบของวิตามิน D ได้แก่ ปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู เนื้อวัว ชีส ไข่แดง เห็ด

อาหารอื่น ๆ ที่ “เสริม” วิตามิน D ซึ่งหมายความว่า จะมีการเพิ่มวิตามิน D ในอาหาร เช่น นม อาหารเช้าซีเรียล น้ำส้ม โยเกิร์ต นมถั่วเหลือง

การตั้งครรภ์และวิตามิน D

หญิงตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงของการพัฒนาไปสู่ภาวะขาดวิตามิน D มีงานวิจัยแสดงว่า การใช้วิตามิน D (4,000 IU) ที่สูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์จะลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนบางอย่างได้ เช่น โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes) ภาวะคลอดก่อนกำหนด

ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้วิตามิน Dเสริมเพิ่มเติมในภาวะต่อไปนี้

  • กำลังตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์
  • ทารกที่กินนมแม่อาจต้องเสริมวิตามิน D ด้วย

วิตามิน D และผลข้างเคียง

แจ้งให้แพทย์ทราบหากพบผลข้างเคียงดังต่อไปนี้

  • โรคนิ่วในไต
  • สับสน หรือทรงตัวไม่ได้
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • ปวดกระดูก
  • น้ำหนักลด หรือเบื่ออาหาร
  • กระหายน้ำ
  • ปัสสาวะบ่อย
  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก
  • อ่อนเพลีย

ปฏิกิริยากับยาอื่นของวิตามิน D

แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา อาหารเสริม สมุนไพร หรือสิ่งที่รับประทานอาหารประจำก่อนรับประทานอาหารวิตามิน D โดยเฉพาะ:

  • Corticosteroids เช่น เพรดนิโซโลน (prednisone)
  • ยาลดน้ำหนัก เช่น Alli (orlistat)
  • ยารักษาเบาหวาน (Diabetes medicines)
  • ยาลดความดัน (Blood pressure drugs)
  • ยาลดไขมันในเลือด Questran, LoCholest, or Prevalite (cholestyramine)
  • ยากันชัก (Seizure medicines เช่น phenobarbital และ Dilantin (phenytoin)
  • แคลเซียม (Calcium supplements)
  • ยาลดกรด (Antacids)

ขนาดยารักษาของวิตามิน D

วิตามิน D มีทั้งรูปแบบยารับประทานอาหารและยาฉีด ระดับยาที่รับประทานอาหารขึ้นอยู่กับอายุ เพศ น้ำหนัก และปัจจัยอื่น ๆ ตามคำแนะนำต่อวัน (The Recommend Dietary Allowance (RDA)) ดังนี้

  • 600 IU สำหรับเด็กและผู้ใหญ่อายุน้อยกว่า 70 ปี
  • 800 IU สำหรับผู้ใหญ่อายุมากกว่า 70 ปี
  • 400 IU สำหรับทารก

แพทย์จะกำหนดปริมาณการรับประทานวิตามิน D การรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการตากแดด 10-15 นาที 3 ครั้ง/สัปดาห์ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อผิวหนัง เพราะจะช่วยให้คุณได้รับวิตามิน D เพียงพอโดยไม่ต้องรับประทานวิตามินดีเสริม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามิน D

คำถาม: แพทย์สั่งให้กินวิตามิน D 500000 IU /สัปดาห์ ฉันกินผิดคือ 2 เม็ดพร้อมกัน ควรทำอย่างไรดี มีอะไรควรกังวลไหม ?

คำตอบ:  ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร เนื่องจากปริมาณของวิตามิน D ที่มากเกินอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องผูก อ่อนเพลีย น้ำหนักลด อาการที่รุนแรงคือ เพิ่มระดับแคลเซียมในเลือด ทำให้เกิดภาวะสับสน และจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ

คำถาม: ระดับวิตามิน D ที่มากเกินไปคือเท่าไร ?

คำตอบ: ความจำเป็นในการเสริมวิตามิน D จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมทั้งอาหารที่กิน การดำรงชีวิต ยาที่กินทั้งอดีตและปัจจุบัน และปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคน ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนกินยา OTC วิตามิน หรืออาหารเสริม

คำถาม: สูตินรีแพทย์สั่งให้รับประทานวิตามิน D 50,000 IU สัปดาห์ละครั้งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ เป็นยาที่ปลอดภัยหรือไม่ ?

คำตอบ: ผู้ป่วยมักสอบถามเกี่ยวกับระดับวิตามินที่เหมาะสม วิตามิน D 50,000 IU เป็นระดับยาตามใบสั่งแพทย์ของวิตามิน D ตามอ้างอิงของกองอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (FDA) เป็นระดับยาที่ได้รับการอนุมัติในการรักษาภาวะโรคบางอย่าง

ระดับอาหารเสริมและวิตามิน D สำหรับผู้ป่วยแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการรวมทั้งอาหารที่รับประทาน การดำรงชีวิต ยาที่รับประทานทั้งอดีตและปัจจุบัน และปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคน ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานยา OTC วิตามิน หรืออาหารเสริม

คำถาม: อะไรคืออาการบางส่วนของภาวะขาดวิตามิน D ?

คำตอบ: อาการของภาวะขาดวิตามิน D จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับภาวะแทรกซ้อนที่เกิดและปัจจัยอื่นๆ เช่น กระดูกหัก

บางคนอาจไม่มีอาการของภาวะขาดวิตามิน D จนกว่าภาวะแทรกซ้อนจะปรากฏขึ้นและอาการอาจจะไม่รุนแรง อาการของภาวะขาดวิตามิน D เช่น ปวดกระดูกท่าก้ม (bone pain stooped posture) กล้ามเนื้อเป็นตะคริวและรู้สึกเสียวแปลบ ความสูงลดลง ผิวซีดมาก

ภาวะแทรกซ้อนของการขาดวิตามิน D อาจรวมถึงโรคกระดูกอ่อน (osteomalacia) และโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)  อาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้รวมถึงความผิดปกติของกระดูกและกระดูกหัก

และยังมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นไปได้อื่นๆ หรือโรคที่อาจมีการเชื่อมโยงกับภาวะขาดวิตามิน D รวมถึงความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า เส้นโลหิตตีบ โรคไขข้อ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

อาการบ่งชี้ช่วงแรกของภาวะขาดวิตามิน D ได้แก่ เหงื่อออก กระสับกระส่าย หงุดหงิด

ในภาวะขาดเรื้อรังก่อให้เกิดการผิดรูปของกระดูกจำนวนมากเนื่องจากกระดูกอ่อนตัวลง ได้แก่

  • ขาโก่ง (bowlegs)
  • ขาเป็ด (knock-knees)
  • กระดูกซี่โครงเป็นปุ่มเรียงแถวที่ costochondral junction (rachitic rosary)
  • การขยายตัวของข้อมือ
  • Pigeon chest คือทรวงอกที่กระดูก sternum โป่งออกทำให้ AP diameter เพิ่มขึ้น
  • กะโหลกศีรษะอ่อนหรือยุบตัว (softening of the skull)
  • การปิดของกระหม่อมช้า (delayed closing of the fontanels)
  • หน้าผากปูด (bulging of the forehead)

จะเห็นได้ว่า แม้วิตามินดีจะมีประโยชน์มากมายต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่ก็ควรรับประทาน หรือได้รับวิตามินดีให้เพียงพอต่อร่างกาย ไม่มากเกินไปเพราะอาจเป็นโทษได้

ส่วนผู้ที่มีแนวโน้มว่า อาจมีความผิดปกติจากการขาดวิตามินดี มีโรคร่วม หรือมีภาวะทางสุขภาพบางอย่าง ก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีเสริมวิตามินเข้าสู่่ร่างกายอย่างเหมาะสมและปลอดภัย


เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจวิตามิน

เปรียบเทียบราคาโปรโมชั่นแพ็กเกจตรวจกระดูก

Scroll to Top