“โรคอีสุกอีใส” โดยทั่วไปจะทำให้เกิดอาการผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็กหรือตุ่มน้ำใสๆ ทั่วร่างกาย แต่ก็อาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ภาวะปอดติดเชื้อและสมองอักเสบในทารกอายุต่ำกว่า 12 เดือน สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนอีสุกอีใสที่สามารถป้องกันและลดอาการรุนแรงของโรคได้แล้ว
สารบัญ
- วัคซีนอีสุกอีใสคืออะไร?
- วัคซีนอีสุกอีใสมีกี่ชนิด?
- วัคซีนอีสุกอีใสฉีดตอนไหนและฉีดกี่เข็ม?
- วัคซีนอีสุกอีใสควรฉีดกี่ครั้ง?
- ใครควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใส?
- ใครควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนอีสุกอีใส?
- ใครไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใส?
- การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
- ขั้นตอนการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
- การดูแลหลังฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
- ข้อควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดวัคซีน
- ผลข้างเคียงของวัคซีนอีสุกอีใส
- วัคซีนอีสุกอีใสอยู่ได้กี่ปี?
วัคซีนอีสุกอีใสคืออะไร?
วัคซีนอีสุกอีใสเป็นวัคซีนเชื้อเป็น ที่ผลิตจากเชื้อไวรัสมีชีวิตชื่อ วาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส โดยนำมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลง วัคซีนจะเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้เกิดการป้องกันโรคอีสุกอีใส โดยในประเทศไทยมีวัคซีนอีสุกอีใส ทั้งรูปแบบวัคซีนเดี่ยว (VZV) ซึ่งเป็นวัคซีนที่ป้องกันเฉพาะโรคอีสุกอีใส และวัคซีนรวม (MMRV) เป็นวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด โรคคางทูม โรคหัดเยอรมัน และโรคอีสุกอีใสไว้ในเข็มเดียว
วัคซีนอีสุกอีใสมีกี่ชนิด?
วัคซีนอีสุกอีใสที่ใช้ในประเทศไทยที่เป็นวัคซีนเดี่ยว มีอยู่ 3 ชนิด คือ
- Varilrix เป็นวัคซีนอีสุกอีใสสายพันธุ์ OKA ในวัคซีน 1 เข็ม มีปริมาณไวรัสไม่ต่ำกว่า 2,000 PFU (Plaque Forming Unit) จะมียาปฎิชีวนะนีโอมัยซิน (Neomycin) ผสมเป็นส่วนประกอบอยู่ในวัคซีน
- Varivax เป็นวัคซีนอีสุกอีใสสายพันธุ์ OKA ในวัคซีน 1 เข็ม มีปริมาณไวรัสไม่ต่ำกว่า 1,350 PFU จะมียาปฎิชีวนะนีโอมัยซิน ผสมเป็นส่วนประกอบอยู่ในวัคซีน
- Varicella Vaccine-GCC เป็นวัคซีนอีสุกอีใสสายพันธุ์ MAV/06 ในวัคซีน 1 เข็ม มีปริมาณไวรัสไม่ต่ำกว่า 1,400 PFU จะไม่มีส่วนผสมของยาปฎิชีวนะ
วัคซีนอีสุกอีใส ป้องกันการเกิดโรคและลดความรุนแรง
- เด็กสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1ปี ชึ้นไป
- เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี เข็มแรก อายุ 12-18 เดือน เข็มที่ 2 อายุ 4-6 ปี ถ้าฉีดก่่อน 4 ปีต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน
- เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน
- ควรฉีด 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิในการป้องกันโรคอีสุกอีใสได้ถึง 99%
วัคซีนอีสุกอีใสฉีดตอนไหนและฉีดกี่เข็ม?
วัคซีนอีสุกอีใสสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และควรฉีด 2 เข็ม โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ควรฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 12-18 เดือน และฉีดเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี แต่ในกรณีที่มีการระบาดของโรค อาจฉีดเข็มที่ 2 ก่อนอายุ 4 ปีได้ โดยต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน และถ้าต้องการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส และวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูมในเวลาเดียวกันอาจใช้วัคซีนรวม (MMRV) ฉีดในเด็กอายุตั้งแต่ 1-13 ปี จำนวน 2 เข็ม เหมือนวัคซีนอีสุกอีใสชนิดเดี่ยวได้
- เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ควรได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็มเช่นเดียวกัน โดยจะฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน เพราะอาจเกิดการรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
วัคซีนอีสุกอีใสควรฉีดกี่ครั้ง?
โดยหลังจากรับวัคซีน 1 ครั้ง จะมีภูมิคุ้มกันป้องกันโรคประมาณร้อยละ 85 แต่หากรับวัคซีน 2 ครั้ง ภูมิคุ้มกันอาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 99 ทำให้ผู้ที่รับวัคซีนครบทั้ง 2 ครั้งมีโอกาสเกิดโรคน้อยกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนเพียง 1 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีแม้รับวัคซีนครบแล้วก็ยังอาจเกิดโรคขึ้นได้เช่นกัน แต่อาการจะรุนแรงน้อยลง เช่น มีผื่นน้อย ไม่ค่อยมีไข้ ไม่ค่อยเกิดแผลเป็น และหายป่วยได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนอุสุกอีใส
ใครควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใส?
เนื่องจากอีสุกอีใสเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย สำหรับผู้ที่ควรฉีดวัคซีคซีนอีสุกอีใส โดยทั่วไปมีดังนี้
- เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1-13 ปี
- เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่ทุกคน ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส
- ผู้ที่ต้องใกล้ชิดหรือดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใส
- ผู้ที่อยู่บ้านเดียวกับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะถ้าผู้ป่วยได้รับเชื้อโรคอีสุกอีใสจะมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
- บุคลากรทางการแพทย์
- ผู้ที่ทำงานในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก เช่น ครูหรือพี่เลี้ยงเด็ก
ใครควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนอีสุกอีใส?
- คุณแม่ที่ให้นมบุตร
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ที่มีค่า CD4 ต่ำ และผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่รับประทานยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น สเตียรอยด์
- ผู้ที่เพิ่งได้รับการถ่ายเลือด ได้รับอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) หรือส่วนประกอบอื่นของเลือด
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคมะเร็ง อยู่ในช่วงรับประทานยาที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน หรือเคยเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายแสงหรือรับประทานยาเคมีบำบัด
- ผู้ที่เป็นวัณโรค
- ผู้ที่มีบิดามารดา พี่น้องที่ร่างกายเคยมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่รับประทานยากลุ่มซาลิไซเลตเป็นประจำ เช่น ยาแอสไพริน
- ผู้ที่ได้รับวัคซีนอื่นๆ ที่เป็นเชื้อเป็นในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจใกล้กันเกินไป อาจทำให้วัคซีนไม่ได้ผล
ใครไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใส?
- คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีอาการแพ้สารเจลาติน (Gelatin) ยานีโอมัยซิน หรือยาปฏิชีวนะอื่นๆ ที่บรรจุในวัคซีน
- ผู้ที่เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสครั้งแรก
การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
ผู้ที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ควรเตรียมตัวดังนี้
- แจ้งข้อมูลสำคัญที่แพทย์ควรทราบก่อนฉีดวัคซีน เช่น โรคประจำตัว ภาวะผิดปกติของร่างกาย ประวัติการแพ้ยาหรือวัคซีน การตั้งครรภ์หรือวางแผนการตั้งครรภ์
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หากมีไข้ หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน ควรเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อน รอให้หายป่วยก่อนจึงค่อยมารับวัคซีน
ขั้นตอนการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
- ผู้ให้บริการจะเช็ดผิวหนังบริเวณที่จะฉีดด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ
- แพทย์ฉีดวัคซีน ขนาด 0.5 มล. เข้าใต้ผิวหนังหรือเข้ากล้ามเนื้อ สำหรับเด็กเล็ก บริเวณที่นิยมฉีด คือ บริเวณหน้าขา และถ้าเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่จะฉีดที่บริเวณต้นแขน
- เมื่อฉีดเสร็จ แพทย์จะใช้สำลีแห้งกดเบาๆ บริเวณที่ฉีดสักครู่ หรือปิดพลาสเตอร์โดยกดเล็กน้อย
การดูแลหลังฉีดวัคซีนอีสุกอีใส
- หากรู้สึกเวียนหัว หรือการมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อรับการช่วยเหลือ
- นั่งหรือเอนหลังเป็นเวลาประมาณ 15 นาที จะช่วยป้องกันการเป็นลม หรือการบาดเจ็บที่อาจเกิดจากการหกล้มขณะวิงเวียนได้
- หากมีไข้ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดบริเวณซอกคอ ข้อพับต่างๆ เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย ถ้าไข้ยังไม่ลดสามารถให้ยาลดไข้ตามที่แพทย์แนะนำได้
- หากเกิดอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีด ให้ประคบด้วยน้ำแข็งเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด สำหรับอาการปวด บวม สามารถหายไปได้เองภายใน 5-7 วัน
- หลังรับวัคซีน อาจมีผื่นคล้ายอีสุกอีใสขึ้นรอบๆ บริเวณที่ฉีด ผื่นเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา
ข้อควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดวัคซีน
- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับทารกแรกเกิด หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ โดยเฉพาะผู้ที่มีผื่นขึ้นหลังรับวัคซีน เพราะอาจกระตุ้นให้บุคคลดังกล่าวติดเชื้อได้ง่าย
- สำหรับผู้หญิงที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ควรคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือนหลังฉีดวัคซีน
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มซาลิไซเลต เช่น ยาแอสไพริน เป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังได้รับวัคซีน
ผลข้างเคียงของวัคซีนอีสุกอีใส
วัคซีนอีสุกอีใสจัดเป็นวัคซีนที่ปลอดภัย แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นเดียวกับยารักษาโรคทั่วไป โดยเกิดขึ้นได้หลายระดับ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงตามแต่ละบุคคล ซึ่งผลข้างเคียงที่อาจพบได้ มีดังนี้
- ผลข้างเคียงแบบทั่วไปหรือเล็กน้อย หลังจากการฉีดวัคซีนจะมีอาการปวดแขน บวมแดง คัน หรือช้ำบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้ต่ำ เกิดผื่นขึ้นเล็กน้อย บางรายอาจมีผื่นขึ้นในช่วง 1 เดือนหลังจากการฉีดวัคซีน จะเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้ใกล้ชิด ซึ่งพบได้ค่อนข้างน้อย และมีโอกาสเกิดน้อยลงเมื่อได้รับวัคซีนครั้งที่สอง
- ผลข้างเคียงแบบรุนแรง บางรายอาจเกิดอาการแพ้รุนแรง ชักจากไข้ เกร็ดเลือดต่ำ สมองอักเสบ ตาแข็ง กล้ามเนื้อเกร็งและกระตุก หรือในรายที่มีอาการแพ้ยาหรือแพ้วัคซีน เช่น มีผื่นคันขึ้นตามลำตัว มีอาการบวมที่ริมฝีปาก เปลือกตา หนังตา ใบหน้า รู้สึกแน่นบริเวณหน้าอก มีปัญหาในการหายใจ มีอาการหายใจไม่สะดวก หายใจลำบาก อ่อนเพลียมาก เกิดรอยช้ำ เลือดออกง่าย หากมีอาการต่างๆ ดังที่กล่าวมาควรรีบพบแพทย์ทันที
วัคซีนอีสุกอีใสอยู่ได้กี่ปี?
จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่าการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสสามารถป้องกันโรคอีสุกอีใสได้นานถึง 20 ปี โดยวัคซีนสามารถป้องกันโรคอีสุกอีใสได้ร้อยละ 70-85 และป้องกันโรคอีสุกอีใสรุนแรงได้มากกว่าร้อยละ 95 จากการติดตามเด็กอายุ 1-12 ปี หลังรับวัคซีนไปแล้ว 10 ปี พบว่าเด็กที่ได้รับวัคซีน 1 ครั้ง และ 2 ครั้ง จะมีอัตราการเกิดโรคอีสุกอีใสร้อยละ 7.3 และ 2.2 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่การกลับมาเป็นซ้ำจะเกิดขึ้นในช่วง 2-5 ปีแรก โดยพบว่าเด็กที่ได้รับวัคซีน 1 ครั้ง และ 2 ครั้ง จะมีอัตราการกลับเป็นซ้ำร้อยละ 8.5 และ 3.1 ตามลำดับ แสดงว่าเด็กที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 ครั้ง จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอีสุกอีใส และมีอัตราการกลับเป็นซ้ำน้อยกว่า
การฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ทำได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง มีประสิทธิภาพในการช่วยลดความรุนแรงและป้องกันการเกิดโรคอีสุกอีใสได้