อาการน้ำมูกไหล เป็นหนึ่งในอาการเจ็บป่วยที่หลายคนน่าจะเคยประสบพบเจอกันมาเกือบทุกคน ซึ่งอาการน้ำมูกไหลมีสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นได้หลายชนิด และยังมีตัวยาหลายประเภทที่ช่วยรักษาอาการนี้ได้
สารบัญ
อาการน้ำมูกไหล
น้ำมูกเกิดจากต่อมผลิตน้ำมูกภายในเยื่อบุทางเดินหายใจ ซึ่งจะผลิตน้ำมูกออกมาเมื่อร่างกายถูกกระตุ้นจากสิ่งระคายเคือง เช่น สารก่อภูมิแพ้ หรือเชื้อโรค และดักจับสิ่งเหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
อาการน้ำมูกไหลเป็นอาการป่วยที่ร่างกายได้สร้างของเหลว (หรือน้ำมูก) จากเนื้อเยื่อ และเส้นเลือดในโพรงจมูกส่วนเกินเป็นจำนวนมาก จนของเหลวดังกล่าวไหลออกมาจากโพรงจมูก
น้ำมูกที่ไหลออกมาอาจเป็นได้ทั้งของเหลวใส หรือขุ่นเหนียว โดยมีสาเหตุมาจากความระคายเคือง หรือจากการอักเสบของเนื้อเยื่อในจมูก
นอกจากนี้อาการน้ำมูกไหลสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายติดเชื้อ เช่น โรคหวัดจากการติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย การรับสารก่อภูมิแพ้จนเกิดอาการน้ำมูกไหล
สาเหตุของอาการน้ำมูกไหล
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า เราสามารถจำกัดสาเหตุใหญ่ๆ ที่มักทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลได้ 2 ประเภท คือ
- น้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัด
- น้ำมูกไหลที่เกิดจากการแพ้
น้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัด
น้ำมูกไหลที่เกิดจากโรคไข้หวัดธรรมดา เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งไวรัสชนิดหลักที่ก่อให้เกิดโรค คือ ไรโนไวรัส (Rhinovirus) และรองลงมาคือ โคโรนาไวรัส (Coronavirus)
อาการอื่นๆ ของโรคไข้หวัดที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการน้ำมูกไหล ได้แก่ ไอ จามบ่อย คัดจมูก เจ็บคอ เสียงแหบ มีไข้ ซึ่งปกติแล้วสามารถหายเป็นปกติได้เองภายใน 7-10 วัน
นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากว่า น้ำมูกข้นสีเหลืองเขียว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งความจริงแล้วสีของน้ำมูก และเสมหะไม่สามารถบ่งบอกได้ว่า ร่างกายติดเชื้อหรือไม่ และการสังเกตสีของเสมหะจะมีประโยชน์เฉพาะกรณีที่เสมหะเป็นเลือดเท่านั้น
ยาสำหรับลดอาการน้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัด
ยาแก้แพ้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ยาแก้แพ้รุ่นแรก (First-generation antihistamine) อธิบายนิยามสั้นๆได้ว่า เป็นยาแก้แพ้กลุ่มที่ทำให้ง่วง อ่อนเพลีย และกลุ่มที่ 2 คือ ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง (Second-generation antihistamine) หรือยาแก้แพ้กลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วง
ยาแก้แพ้รุ่นแรก (First-generation antihistamine)
เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการน้ำมูกไหลเนื่องจากหวัด กลไกคือ เข้าไปยับยั้งการทำงานของฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่หลั่งจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ ขึ้นมา
ยาแก้แพ้รุ่นแรกจะออกฤทธิ์โดยซึมผ่านเข้าสู่สมอง และไปออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เป็นผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการง่วงซึม อ่อนเพลียมาก รวมทั้งมีกลไกยับยั้งสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ด้วย
นั่นทำให้เกิดผลข้างเคียงอีกอย่างคือ อาการแห้ง ได้แก่ น้ำมูกแห้งและลดปริมาณลง รวมทั้งมีอาการ ปากแห้ง คอแห้ง ได้ นอกจากนี้ยาแก้แพ้กลุ่มแรกยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่พบได้อีก ได้แก่ ตาพร่า ปัสสาวะคั่ง แรงดันในลูกตาเพิ่ม ใจสั่น
ข้อควรระวังของยากลุ่มนี้: ไม่ใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคต้อหิน โรคต่อมลูกหมากโต เนื่องจากผลข้างเคียงอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
ยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ได้แก่
- คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ขนาดรับประทาน คือ 4 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ห้ามรับประทานเกิน 24 มิลลิกรัมต่อวัน
- บรอมเฟนิรามีน (Brompheniramine) ขนาดรับประทานเช่นเดียวกันกับคลอเฟนิรามีน คือ 4 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง
- ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) ขนาดรับประทาน คือ 25-50 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ห้ามรับประทานเกิน 150 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้ยาไดเฟนไฮดรามีนยังมีข้อบ่งใช้อื่นคือ บรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ (motion sickness) ได้อีกด้วย
น้ำมูกไหลที่เกิดจากการแพ้
น้ำมูกไหลที่เกิดจากการแพ้ เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (Allergen) เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น ขนสัตว์ เมื่อร่างกายสัมผัสสารเหล่านี้จะตอบสนองโดยการหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ที่สามารถกระตุ้นต่อมสร้างน้ำมูกให้ผลิตน้ำมูกใสๆ ออกมาได้ จนทำให้เกิดอาการแพ้แสดงออกมา
อาการน้ำมูกไหลจากอาการแพ้มักเป็นน้ำมูกสีใส และมักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีผื่น รู้สึกคัน น้ำตาไหล ตาแดง แน่นหน้าอก ปากบวม ลิ้นบวม
ยาสำหรับลดอาการน้ำมูกไหลที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้
ยาแก้แพ้ที่ใช้กับอาการนี้ แนะนำให้ใช้ยาแก้แพ้รุ่นที่ 2 หรือยาแก้กลุ่มที่ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง แต่กลไกการออกฤทธิ์ของยาเป็นแบบเดียวกันกับยาแก้แพ้รุ่นแรกคือ ยับยั้งการหลั่งของสารฮีสตามีนซึ่งเป็นต้นเหตุโดยตรงของอาการแพ้
แต่ความแตกต่างของยาแก้แพ้กลุ่มที่ 2 ก็คือ ยากลุ่มนี้จะไม่ซึมผ่านเข้าสู่สมอง ทำให้ไม่พบผลข้างเคียง คืออาการง่วงซึม หรืออาจพบได้น้อยมากในยาบางตัว
นอกจากนี้ยายังไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน ทำให้ไม่เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการแห้งแบบยารุ่นแรกด้วย
ยาในกลุ่มนี้ได้แก่
- เซทิริซีน (Cetirizine) ขนาดรับประทานคือ 10 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง หรือแบ่งรับประทาน 5 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
- ลอราทาดีน (Loratadine) ขนาดรับประทานคือ 10 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
- เฟกโซเฟนาดีน (Fexofenadine) ขนาดรับประทานคือ 120 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
จะเห็นได้ว่า ยาแก้แพ้กลุ่มที่ 2 มีความถี่ในการรับประทานต่ำกว่ายารุ่นแรก คือ รับประทานเพียงวันละ 1 ครั้ง เนื่องจากตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่า
นอกจากนี้ยังมียาอีกตัวที่ออกฤทธิ์รักษาอาการน้ำมูกไหลได้ดีเช่นกัน นั่นคือ เลโวเซทิริซีน (Levocetirizine) ยาที่เป็นโครงสร้างออกฤทธิ์ของยาเซทิริซีน และเดสลอราทาดีน (Desloratadine) ที่มีโครงสร้างการออกฤทธิ์เหมือนยาลอราทาดีน
ทั้งนี้นอกจากการใช้ยารักษาแล้ว ผู้ป่วยยังควรหลีกเลี่ยง หรือกำจัดสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ออกไป หรือใช้หน้ากากอนามัยในกรณีไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ได้
การเลือกใช้ยาสำหรับลดน้ำมูกจะต้องเริ่มจากต้นตอของน้ำมูกว่า เกิดจากอะไร การใช้ยากลุ่มหนึ่งกับอีกโรคหนึ่งที่ไม่เข้ากันอาจไม่เกิดประสิทธิภาพดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังอาจเกิดอันตรายจากผลข้างเคียงของยาอีกด้วย
สีของน้ำมูกสามารถบอกอะไรได้บ้าง
สีของน้ำมูกสามารถบ่งบอกถึงอาการเจ็บป่วยได้ไม่ต่างจากสีของเสมหะ โดยสามารถแจกแจงได้ดังต่อไปนี้
- น้ำมูกสีใส ส่วนมากน้ำมูกสีนี้จะไหลลงคอ แล้วเราก็จะกลืนลงกระเพาะอาหารไป อาจมีสาเหตุมาจากโรคหวัด การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ หรือสารก่อภูมิแพ้ที่คุณบังเอิญสัมผัสจนทำให้สารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการภูมิแพ้หลั่งออกมา
- น้ำมูกสีขาว น้ำมูกสีนี้มักมีความข้นเหนียวกว่าน้ำมูกสีใส เพราะเป็นน้ำมูกที่คั่งอยู่ในโพรงจมูกเป็นเวลานานจากการที่เยื่อบุโพรงจมูกบวม รวมถึงอาจเกิดจากการรับประทานผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม ไขมันจากนมทำให้น้ำมูกเสียความชุ่มชื้นได้ จึงกลายเป็นของเหลวเหนียวสีขาว ทำให้หายใจไม่สะดวก
- น้ำมูกสีเหลือง มักเป็นน้ำมูกที่เกิดจากร่างกายติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกัน หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวต้องทำลายเชื้อเหล่านั้นให้หมดไป เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวกับเซลล์เชื้อโรคที่ตายไปแล้วมารวมตัวกัน จึงทำให้น้ำมูกมีสีเหลืองขึ้น หรืออาจเกิดจากน้ำมูกที่ค้างอยู่ในโพรงจมูกเป็นเวลานานเช่น ในช่วงกลางคืน เมื่อตื่นเช้ามาจะพบน้ำมูกสีเหลืองโดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ในระหว่างวันจะพบน้ำมูกใส
- น้ำมูกสีเขียว เป็นสีน้ำมูกที่บ่งบอกว่า ตอนนี้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียอยู่ สาเหตุของน้ำมูกสีนี้จะคล้ายกับน้ำมูกสีเหลือง ส่วนสีของน้ำมูกที่เป็นสีเขียวเกิดจากเอนไซม์ของเม็ดเลือดขาว หรืออาจเกิดจากอาการไซนัสอักเสบได้ด้วย
- น้ำมูกสีเทา เป็นสีน้ำมูกที่บ่งบอกว่า “คุณกำลังมีริดสีดวงจมูก (Nasal polyp) เกิดขึ้น” ซึ่งไม่ได้เป็นเนื้อร้ายที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด และน้ำมูกสีเทายังเกิดได้จากเชื้อราซึ่งเกาะที่ผิวเยื่อบุจมูกเติมโตขึ้น
นอกจากนี้อาการแพ้ยาแอสไพริน อาการภาวะไซนัสอักเสบ โรคหอบหืด และโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ก็สามารถทำให้เกิดน้ำมูกสีเทาได้เช่นกัน - น้ำมูกสีแดง มักเกิดจากเลือดไหลออกมาปนกับน้ำมูก อาจมีสาเหตุมาจากเส้นเลือดโพรงจมูกแตก เนื้องอก เยื่อบุจมูกแห้ง อาการระคายเคือง หรือบาดเจ็บภายในจมูก
- น้ำมูกสีดำ เป็นสีน้ำมูกที่พบได้มากในผู้ที่สูบบุหรี่ เสพสารเสพติด หรืออาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะทางอากาศสูง จนหายใจเอาสิ่งสกปรกสีดำเข้าจมูกไปด้วย และยังอาจเกิดได้จากภาวะไซนัสอักเสบ หรือการติดเชื้อราด้วย
อาการน้ำมูกไหลเป็นสัญญาณบอกความผิดปกติของร่างกายได้มากมาย จึงไม่ควรมองว่า อาการน้ำมูกไหลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องรักษาก็ได้
โดยเฉพาะหากพบว่า น้ำมูกมีสีผิดปกติไปจากเดิม ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ จะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมโดยเร็ว
บทความตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ.เพ็ญพิไล สุตันทวงษ์