หลายคนจะได้ยินอยู่เสมอๆ ว่า “อย่าลืมไปตรวจสุขภาพกันด้วยนะ” จึงทำให้เกิดความสงสัยว่า การตรวจสุขภาพนี่มันตรวจอะไรกันบ้าง วันนี้ HD จะมาไขข้อข้องใจของทุกคนกันด้วย 13 รายการตรวจสุขภาพพื้นฐาน ที่โปรแกรมตรวจสุขภาพต่างๆ มักจะตรวจให้มาฝากกัน รวม 13 รายการตรวจสุขภาพพื้นฐานยอดนิยม ที่โปรแกรมตรวจสุขภาพต่างๆ ที่มีให้บริการ
สารบัญ
- 1. ตรวจสุขภาพทั่วไปโดยแพทย์ (Physical Examination)
- 2. วัดความดันโลหิตและชีพจร (Vital Signs)
- 3. การวัดค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI)
- 4. ตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์ (Dental Examination)
- 5. ตรวจวัดสายตา (Auto-refraction)
- 6. ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)
- 7. ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting blood sugar)
- 8. ตรวจไขมันในเลือด(Cholesterol)
- 9. ตรวจการทำงานของไต (Creatinine, Bun)
- 10. ตรวจการทำงานของตับ (SGPT, SGOT)
- 11. ตรวจหาระดับกรดยูริคในเลือด (Uric Acid)
- 12. ตรวจเอกซเรย์ปอดหัวใจ (Chest X-ray)
- 13. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography: EKG)
1. ตรวจสุขภาพทั่วไปโดยแพทย์ (Physical Examination)
การตรวจสุขภาพทั่วไป คือ การซักประวัติคนไข้ ว่าเป็นหวัดบ่อยไหม มีอาการผิดปกติอะไรบ้าง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติไหม สูบบุหรี่กินเหล้าหรือเปล่า
พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับการตรวจคัดกรองเบื้องต้นนั่นเอง ในช่วงนี้สามารถซักถามพูดคุยกับแพทย์เบื้องต้นได้ตามต้องการ
2. วัดความดันโลหิตและชีพจร (Vital Signs)
เป็นการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความแรงของการสูบฉีดเลือด เพื่อดูว่าการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอหรือไม่ โดยอัตราการเต้นปกติของหัวใจจะอยู่ที่ประมาณ 70-90 ครั้งต่อนาที
3. การวัดค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI)
หลายคนคงจะคุ้นเคยกับการวัดค่าดัชนีมวลกายเป็นอย่างดี เพราะมันคือค่าเฉลี่ยน้ำหนักที่เหมาะสมของตัวเรา โดยจะคิดจากน้ำหนักและส่วนสูงของเราเอง หากมีค่าดัชนีมวลกายสูงกว่ามาตฐาน อาจเสี่ยงเป็นโรคร้ายหลายโรคได้
4. ตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์ (Dental Examination)
เป็นการตรวจความผิดปกติทั่วๆ ไปในช่องปาก เช่น ฟันโยก ฟันพุ และตรวจเช็กการก่อตัวของคราบหินปูน ในช่วงนี้หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับช่องปาก สามารถแจ้งกับทันตแพทย์ได้ทันที
5. ตรวจวัดสายตา (Auto-refraction)
โดยส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ยิงแสงอินฟราเรดเข้าสู่ดวงตา เพื่อสะท้อนกลับมาเป็นค่าสายตาของแต่ละคน เครื่องนี้จะคล้ายกับเครื่องตามร้านแว่นซึ่งสามารถบอกได้ทั้งสายตาสั้นและยาว
6. ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)
เม็ดเลือดแดงมีความสำคัญต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงเม็ดเลือดขาวก็มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจึงมีผลต่อร่างกายโดยรวมด้วย
7. ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting blood sugar)
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนี้อาจเป็นสิ่งที่หลายๆ คนกลัว เพราะจะเป็นการตรวจระดับน้ำตาลในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา (Hemoglobin A1c)
หากกินของหวานเยอะ เข้าคาเฟ่บ่อย และไม่ค่อยออกกำลังกาย น้ำตาลก็จะไปเกาะตามเม็ดเลือด ทำให้มีระดับน้ำตาลสูง โดยปริมาณปกติสำหรับคนที่ไม่เป็นเบาหวานควรจะอยู่ที่ 5.7 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น
8. ตรวจไขมันในเลือด(Cholesterol)
ไขมันในเลือดที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ
- ไขมันดี (HDL) เป็นไขมันที่คอยกำจัดไขมัน LDL ซึ่งเป็นอันตรายออกจากร่างกาย ช่วยรักษาสมดุลในกระแสเลือด ไม่ให้ไขมันสะสมมากไป
- ไขมันไม่ดี (LDL) เป็นไขมันที่อันตรายต่อร่างกาย มันจะคอยไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้น้อยลง
- ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) เป็นไขมันที่สะสมตามเนื้เยื่อไขมันต่างๆ ในร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้อ้วนขึ้นอีกด้วย หากมีปริมาณมากเกินไปจะเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
9. ตรวจการทำงานของไต (Creatinine, Bun)
ไตเป็นหนึ่งในอวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดของร่างกาย เพราะในหนึ่งวันต้องกรองของเสียในเลือดมากกว่า 180 ลิตร ออกไปทางปัสสาวะ
ดังนั้นการตรวจการทำงานของไต จึงทำได้โดยการวัดระดับ Creatinine ในเลือด ซึ่งเป็นของเสียที่ไตจะต้องขับทิ้ง หากมีปริมาณ Creatinine สูง อาจเป็นสัญญาณที่ไม่ดีของโรคไตก็ได้นะ
10. ตรวจการทำงานของตับ (SGPT, SGOT)
ตับมีหน้าที่คล้ายกับไส้กรองของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ เชื้อโรค ที่เรากินเข้าไป ตับจะทำหน้าที่กรองสิ่งเหล่านั้นแล้วใช้เอ็นไซม์กำจัดสารพิษทิ้ง
ซึ่งการตรวจระดับเอ็นไซม์ในตับ (ALT) ก็สามารถบอกสภาพของตับได้ว่ายังสบายดีอยู่ไหม หากพบสัญญาณที่อันตรายต่อตับ จะได้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทัน
11. ตรวจหาระดับกรดยูริคในเลือด (Uric Acid)
การตรวจหากรดยูริคในเลือดจะช่วยให้เราควบคุมพฤติกรรมการกินได้ เพราะกรดยูริคส่วนหนึ่งมาจากอาหารการกิน เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารและยาบางชนิด เป็นต้น
หากมีกรดยูริคสูงเกินไป อาจมีผลทำให้กรดยูริคไปจับตัวกับโซเดียมในเลือดจนเกิดเป็นเกลือยูเรต (Monosodium urate) ซึ่งเกลือยูเรตอาจไปสะสมตามข้อต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมาได้
12. ตรวจเอกซเรย์ปอดหัวใจ (Chest X-ray)
การเอกซเรย์ปอดและหัวใจสามารถทำได้พร้อมกัน เพื่อตรวจหาอาการผิดปกติ เช่น น้ำท่วมปอด ปอดแฟบ หัวใจผิดรูป เป็นต้น
13. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography: EKG)
การเต้นของหัวใจถูกควบคุมด้วยสัญญาณไฟฟ้าภายใน ดังนั้นเราเราจึงสามารถตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อดูการเต้นของหัวใจได้
หากตรวจพบว่ามีการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ อาจนำมาพยากรณ์โรคหรืออาการเสี่ยงอื่นๆ ได้ เช่น ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ หลอดเลือด เป็นต้น