เทียบชัด Ulthera กับ Thermage ต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับคุณมากกว่ากัน?

Ulthera และ Thermage ต่างก็เป็นหนึ่งในทางเลือกในการยกกระชับผิวหน้าที่ “ไม่ต้องผ่าตัด” โดยเน้นไปที่การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวเหมือนๆ กัน ทำให้หลายคนเกิดความสับสนว่า 2 วิธีการนี้ต่างกันอย่างไร

หลักการกระชับผิวของ Ulthera กับ Thermage

Ulthera ใช้วิธีการปล่อยคลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ซึ่งเป็นคลื่นเสียงความถี่สูงด้วยเทคโนโลยีไมโครโฟกัส (Micrifocus) เข้าไปเป็นจุดเล็กๆ เรียงกันเป็นแถว ทำให้สามารถกำหนดแนวยกกระชับได้อย่างแม่นยำ

คลื่นอัลตราซาวด์จากไมโครโฟกัสสามารถเข้าสู่ชั้นผิวลึกลงไป 4.5-5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นที่อยู่ของผิวชั้นใต้ไขมัน (Superficial muscular aponeurotic system: SMAS)

ผิวชั้นนี้แพทย์ใช้ในการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อผังผืดที่คอยยึดคอลลาเจนกับผิวหนังให้ดูกระชับ

จากนั้นคลื่นอัลตราซาวด์จะทำให้เกิดความร้อน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่มีความยืดหยุ่นขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวชั้นบนดูกระชับขึ้น ริ้วรอยลดเลือนลง

ส่วน Thermage จะใช้การปล่อยคลื่นวิทยุ (Radio frequency: RF) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปในพื้นผิวที่ต้องการได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ (Hypodermis)

แต่คลื่นวิทยุจาก Thermage จะมีลักษณะเหมือนการเปิดไฟฉายส่องลงบนผิวหนัง คือคลื่นจะกระจายวงกว้างแต่จะค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ และเข้าไปได้ไม่ลึกเท่ากับ Ulthera

กล่ายโดยสรุปก็คือ Ulthera จะเน้นการทำงานจากด้านในผิวหนังจนส่งผลออกมาให้เห็นด้านนอก แต่ Thermage จะทำงานได้ดีหากใช้กับปัญหาผิวที่อยู่บริเวณพื้นผิวมากกว่า

Ulthera กับ Thermage ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง?

โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนมักทำ Ulthera และ Thermage เพื่อแก้ปัญหาผิวบริเวณใบหน้า แต่ความจริงแล้วทั้งสองหัตถการสามารถใช้สำหรับผิวบริเวณอื่นได้ด้วย

ตำแหน่งต่างๆ ที่สามารถทำ Ulthera ได้ มีดังนี้

  • คิ้ว
  • ใต้คาง หรือเหนียง
  • ลำคอ
  • หน้าอกด้านบน

ส่วนตำแหน่งต่างๆ ที่สามารถทำ Thermage ได้ มีดังนี้

  • คิ้ว
  • ใต้คาง หรือเหนียง
  • หน้าท้อง ลำตัว
  • แขน
  • ต้นขา เข่า

Ulthera และ Thermage เหมาะกับใคร?

เทคนิคที่ต่างกันของ Ulthera และ Thermage ทำให้เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเภทนี้ตอบสนองความต้องการได้ต่างกันเล็กน้อย

Ulthera จะทำงานได้ดีกว่าเมื่อใช้เพื่อการ “กระชับ” ผิว เพราะสามารถปล่อยคลื่นลงไปได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS ได้อย่างแม่นยำ เปรียบเสมือนการปรับปรุงผิวจากโครงสร้างภายใน ทำให้ผลลัพธ์การยกกระชับอยู่ได้นานกว่า Thermage

Ulthera จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหากใช้กับผู้ที่มีผิวบางถึงปานกลาง มีไขมันน้อย เพราะคลื่นสามารถเข้าไปได้ง่าย

นอกจากนี้ Ulthera ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (Food and drug administration: FDA) ว่าสามารถใช้ในการปรับปรุงสภาพผิวดังต่อไปนี้ได้อย่างเห็นผล

  • ยกคิ้ว
  • ยกกระชับใต้คางที่หย่อนคล้อย (เหนียง) และลำคอ
  • ลดเลือนริ้วรอยบริเวณหน้าอกด้านบน (Décolleté)

ในขณะที่ Thermage เป็นคลื่นวิทยุกระจายตัวเป็นก้อนใหญ่ๆ ส่งความร้อนลึกลงไปได้ประมาณ 3.0 มิลลิเมตรเท่านั้น

จึงเหมาะกับการปรับปรุงบริเวณพื้นผิวมากกว่า เช่น กระชับรูขุมขน ริ้วรอยผิวตื้นๆ ตีนกา สิว ลดเลือนปัญหาจากแดดร่วมกับการกระชับผิวหน้า

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Thermage คือ มีประสิทธิภาพในการลดไขมันได้ดี เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนา ผิวมัน และมีไขมันเยอะ ผู้ชายก็สามารถทำได้ เพราะโดยปกติผู้ชายมักมีผิวหนากว่าผู้หญิง

นอกจากนี้ Thermage ยังได้รับการรับรองจาก FDA ว่ามีผลในการปรับปรุงสภาพผิวดังต่อไปนี้อย่างเห็นผล

  • รักษาตีนกา และริ้วรอยได้ทั้งบริเวณเปลือกตาล่างและเปลือกตาบน
  • ลดเรือนริ้วรอยบนผิวหนัง
  • สลายเซลลูไลท์ (Cellulite)

สรุปแล้ว หากคุณเป็นคนผิวบาง ผอม และต้องการ “ยกกระชับ” ผิว ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว คอ คาง หรือหน้าอกด้านบน Ulthera อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า

หากคุณเป็นคนมีเนื้อมีหนัง ผิวหนา ที่ต้องการยกกระชับเปลือกตาด้านบน ล่าง สลายเซลลูไลท์หน้าท้องหรือลำตัว Thermage อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่ประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวอาจไม่เท่ากับ Ulthera

ระยะเวลาเห็นผลของ Ulthera กับ Thermage

Uthera มักเห็นผลในไม่กี่วันหลังจากครั้งแรกที่ทำ หลังจากนั้นร่างกายจะสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผลลัพธ์ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นใน 3-6 เดือน ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับกระบวนการสร้างคอลลาเจนและการดูแลรักษาของแต่ละคน

จากการศึกษาภายในของ Ulthera เองที่ทำกับกลุ่มอาสาสมัครพบว่า ใบหน้าฝั่งที่ทำ Ulthera มีการสร้างคอลลาเจนมากกว่าฝั่งที่ไม่ได้ทำถึง 42%

ส่วน Thermage เองก็สามารถเห็นผลได้หลังจากทำเพียงครั้งเดียวเช่นกัน ผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นใน 2-6 เดือนและอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน

ผิวหนังจะค่อยๆ กลับไปหย่อนคล้อยตามธรรมชาติอีกครั้ง แต่ผู้รับบริการสามารถทำซ้ำได้ทั้ง Thermage และ Ulthera เพราะทั้ง 2 วิธีมีความความเสี่ยงต่ำ มักไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นปกติ

Ulthera และ Thermage เจ็บไหม?

ทั้ง Ulthera และ Thermage ขณะทำจะมีความรู้สึกร้อนข้างในผิวเป็นจุดๆ คล้ายกับโดนเข็มทิ่ม เนื่องจากเกิดความร้อนขึ้นในผิวทั้งคู่

ความเจ็บขึ้นอยู่กับความร้อนที่ใช้ทำ โดยปกติจะใช้อุณหภูมิประมาณ 60 องศา หากกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถแจ้งผู้ให้บริการเพื่อแปะยาชาเฉพาะที่ได้ หรือหากระหว่างกำลังทำรู้สึกเจ็บเกินไป ก็สามารถแจ้งผู้ให้บริการให้ลดกำลังเครื่องลงได้เช่นกัน

ผู้รับบริการบางคนบอกว่า Thermage เจ็บน้อยกว่า Ulthera เพราะปัจจุบันมี New Thermage CPT เป็นรุ่นที่พัฒนาระบบสั่น (Vibratory handpiece) เพิ่มความสบายมากขึ้น ส่วน Thermage FLX ก็มีระบบคำนวณความร้อนอย่างแม่นยำ

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง Ulthera และ Thermage ไม่มีการเจาะ ผ่า หรือเกิดแผลที่ผิวชั้นนอกแต่อย่างใด จึงถือเป็นวิธีการยกกระชับผิวที่ค่อนข้างปลอดภัยและเจ็บน้อยหากเทียบกับวิธีอื่นๆ เช่น ร้อยไหม ผ่าตัด เป็นอย่างมาก

Ulthera และ Thermage ใช้เวลาทำนานแค่ไหน?

Ulthera อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาที ขึ้นอยู่ตำแหน่งและจำนวนช็อตที่ใช้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่ใช้ Ulthera จะต้องการยกกระชับคาง ใบหน้าส่วนล่างที่หย่อนคล้อยมาจากภายใน ใช้แค่ 30-45 นาที

Thermage มักจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงเนื่องจากมีจำนวนช็อตที่ค่อนข้างแน่นอน และส่วนใหญ่มักไม่ทำแค่ใบหน้าส่วนล่างหรือคางเหมือนกับ Ulthera

ราคาของ Ulthera และ Thermage

ราคาการทำ Ulthera อยู่ที่ประมาณ 20,000-60,000 บาท

ส่วนราคาการทำ Thermage อยู่ที่ประมาณ 35,000-80,000 บาท

Scroll to Top