เลือดที่มีคุณภาพและมีทุกเซลล์ส่วนประกอบที่สมบูรณ์ย่อมช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างยาวนาน ดังนั้นในแทบทุกรายการตรวจสุขภาพจึงต้องมีการ “ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด” ประกอบอยู่ด้วย เพื่อเป็นการตรวจเช็กส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เม็ดเลือดของเราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถหล่อเลี้ยงและซ่อมแซมยามร่างกายเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บได้อย่างดีที่สุด
สารบัญ
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดคืออะไร?
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) คือ กระบวนการตรวจองค์ประกอบและปริมาณเซลล์ของเม็ดเลือดในร่างกายมนุษย์ อันได้แก่
- ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells: WBC) ซึ่งทำหน้าที่ขจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้เราไม่เจ็บป่วยง่าาย และร่างกายมีการฟื้นฟูสมานแผลเมื่อได้รับบาดเจ็บ
- ปริมาณเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด (Differential White Blood Cell Count) ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีหน้าที่กำจัดแบคทีเรีย เชื้อโรค หรือสารพิษที่เข้าร่างกายต่างกันไป เช่น
- นิวโทรฟิล (Neutrophils) ทำหน้าที่ทำลายเชื้อแบคทีเรีย
- โมโนไซต์ (Monocyte) ทำหน้าที่ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่มีขนาดใหญ่จนเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นทำลายไม่ได้ และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย
- ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส รวมถึงเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย
- อีโอซิโนฟิล (Eosinophilis) ทำหน้าที่คงสภาพเลือดให้เป็นของเหลว รวมถึงคอยทำลายเซลล์สิ่งแปลกปลอมหรือสารพิษที่อาจสร้างอาการแพ้หรือระคายเคือง เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้
- เบโซฟิล (Besophils) ทำหน้าที่ขยายผนังหลอดเลือด และสร้างเซลล์ป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว
- ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cells: RBC) ทำหน้าที่นำส่งออกซิเจน ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย กระตุ้นการทำงานของระบบขับของเสีย
- ปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่น (Hematocrit: Hct) สามารถบ่งบอกถึงภาวะหรือโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดบางชนิดได้
- ปริมาณฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นสารสำคัญในเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่นำส่งออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ทุกส่วนของร่างกาย และยังมีผลต่อปริมาณกับคุณภาพของเซลล์เม็ดเลือดแดงด้วย
- ปริมาณเกล็ดเลือด (Platelet Estimation) เป็นเซลล์ที่มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่คอยสมานแผล อุดรอยรั่ว หรือรอยฉีกขาดของเซลล์หลอดเลือดเวลาที่เรามีบาดแผลตามร่างกาย และทำให้เลือดหยุดไหลนั่นเอง
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดช่วยอะไร?
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคและสัญญาณผิดปกติของร่างกาย เช่น
- โรคหัวใจ
- โรคไต
- โรคตับ
- โรคมะเร็งเม็ดเลือด
- โรคโลหิตจาง
- โรคเกี่ยวกับไขกระดูก
- ภาวะขาดเลือด
- ภาวะม้ามโต
- ภาวะขาดสารอาหาร แร่ธาตุ และและวิตามินที่จำเป็น
- ภาวะขาดน้ำ
- ภาวะโลหิตจาง
- ภาวะติดเชื้อไวรัสบางชนิด
- ภาวะความเครียด
- ร่างกายปนเปื้อนสารพิษ
การเตรียมตัวก่อนตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ต้องงดอาหารไหม?
หากเป็นการเจาะเลือดตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเพียงอย่างเดียว ผู้เข้ารับบริการสามารถกินอาหาร ดื่มน้ำ ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องงดน้ำและไม่ต้องงดอาหารแต่อย่างใด
แต่ในกรณีที่เจาะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจสุขภาพในส่วนอื่นๆ ด้วย ทางสถานพยาบาลอาจแจ้งให้งดน้ำและงดอาหารก่อนประมาณ 8-12 ชั่วโมง
ขั้นตอนการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะเป็นการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดประมาณ 2.5-3 มิลลิลิตรเท่านั้น หลังจากนั้นผู้เข้ารับบริการจึงค่อยเข้าฟังผลตรวจกับแพทย์อีกครั้ง
ส่วนมากระยะเวลารอผลจะภายใน 1 วัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางการให้บริการของแต่ละสถานพยาบาล และจำนวนรายการตรวจสุขภาพซึ่งอาจต้องใช้เวลาแปลผลตรวจนานกว่านั้น
การดูแลตัวเองหลังตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
ในส่วนของการดูแลตนเองหลังเจาะเก็บตัวอย่างเลือด ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที ไม่จำเป็นต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษ
ส่วนการดูแลตนเองหลังฟังผลตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะขึ้นอยู่กับผลตรวจที่แพทย์จะเป็นผู้แจ้ง หากตรวจพบความเสี่ยงหรือความผิดปกติใดๆ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการเข้ารับการตรวจอื่นๆ ที่ละเอียดขึ้นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลความเสี่ยง หรือแนะนำให้กลับไปดูแลสุขภาพเพิ่มเติม
ผลลัพธ์ของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
1. ผลตรวจปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว
โดยปกติมนุษย์ควรมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 4,000-10,500 เซลล์ต่อไมโครลิตร แต่หากเซลล์เม็ดเลือดขาวสูงหรือต่ำเกินไป ก็อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างได้
หากตรวจพบระดับเม็ดเลือดขาวสูง
- ร่างกายมีการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อโรคบางชนิด
- ร่างกายมีอาการแพ้สิ่งแปลกปลอมบางชยิด หรืออาการภูมิแพ้ หอบหืดกำเริบ
- ไขกระดูกเกิดความผิดปกติ
- มีภาวะความเครียดจัด
- เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ ก็มักจะตรวจพบระดับเม็ดเลือดขาวสูงด้วย
- พฤติกรรมสูบบุหรี่จัด
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาอิพิเนฟริน (Epinephrine) ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids)
หากตรวจพบเม็ดเลือดขาวต่ำ
- ร่างกายมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อโรคบางชนิด
- ร่างกายปนเปื้อนสารพิษมากเกินไป
- เป็นโรคเกี่ยวกับตับ ม้าม หรือไขกระดูก
- เป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง
- เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- การติดเชื้อไวรัส HIV
- ภาวะขาดสารอาหาร แร่ธาตุ หรือวิตามิน
- สามารถเป็นผลกระทบจากการฉายแสงหรือทำเคมีบำบัดรักษามะเร็งได้
- พฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- การใช้ยาบางชนิด
2. ผลตรวจปริมาณเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด
ปริมาณของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิดที่ควรมีในร่างกายต่ออัตราส่วนปริมาณเม็ดเลือดขาวทั้งหมด ได้แก่
- นิวโทรฟิล (Neutrophils) ควรมีประมาณ 50-70%
- โมโนไซต์ (Monocyte) ควรมีประมาณ 0-7%
- ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ควรมีประมาณ 20-40%
- อีโอซิโนฟิล (Eosinophilis) ควรมีประมาณ 0-5%
- เบโซฟิล (Besophils) ควรมีประมาณ 0-1%
หากตรวจพบชนิดของเม็ดเลือดขาวมีปริมาณสูงเกินไป นั่นถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อปรสิต พยาธิ หรือเชื้อโรคบางชนิด รวมถึงภาวะเลือดข้น ภาวะเกล็ดเลือดสูง
แต่หากพบชนิดของเม็ดเลือดขาวในปริมาณต่ำเกินไป ก็จัดว่าร่างกายผู้เข้ารับบริการมีภูมิคุ้มกันต่ำเกินไป และเสี่ยงจะเจ็บป่วยจากการติดเชื้อต่างๆ ได้ รวมถึงมีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
3. ผลตรวจปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดง
โดยปกติมนุษย์ควรมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงอยู่ที่ 3.9-5.0 ล้านเซลล์ต่อไมโครลิตรสำหรับผู้หญิง และ 4.3-5.7 ล้านเซลล์ต่อไมโครลิตรสำหรับผู้ชาย
แต่หากเซลล์เม็ดเลือดขาวสูงหรือต่ำเกินไป ก็อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างได้ เช่น
หากตรวจพบระดับเม็ดเลือดแดงสูง
- ร่างกายมีปริมาณออกซิเจนต่ำเกินไป
- เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
- เป็นโรคหัวใจวายจากโรคปอด หรือมีเนื้อเยื่อพังผืดในปอด
- เป็นภาวะเลือดข้น
- พฤติกรรมสูบบุหรี่จัด
- สามารถเป็นผลกระทบจากการฉายแสงรักษามะเร็งได้ จนไขกระดูกไม่ทำงาน หรือมีเนื้องอกในไขกระดูก
หากตรวจพบเม็ดเลือดแดงต่ำ
- ร่างกายอยู่ในภาวะเสียเลือด อาจมาจากอาการบาดเจ็บ มีเลือดออกจากอวัยวะภายใน หรือการมีประจำเดือน
- การตั้งครรภ์
- การติดเชื้อไวรัส HIV
- เป็นโรคไตเรื้อรัง
- เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด
- ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกง่าย
- ภาวะขาดสารอาหาร แร่ธาตุ หรือวิตามิน เช่น วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก
4. ผลตรวจปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่น
สำหรับผู้หญิงควรมีปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นอยู่ที่ 36-45% ส่วนผู้ชายควรมีปริมาณเม็ดเลือดขาวอัดแน่นอยู่ที่ 38-50% หากตรวจพบปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นสูงหรือต่ำเกินไป ถือเป็นสัญญาณความเสี่ยงดังต่อไปนี้
หากตรวจพบปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นสูงเกินไป
- ภาวะขาดน้ำ
- ภาวะเลือดข้น
- ร่างกายมีออกซิเจนในเลือดต่ำ
- พฤติกรรมสูบบุหรี่จัด
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
หากตรวจพบปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นต่ำเกินไป
- โรคโลหิตจาง
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- โรคข้ออักเสบรูมารอยด์
- ภาวะเสียเลือด
- ภาวะโลหิตจาง
5. ผลตรวจปริมาณฮีโมโกลบิน
ผู้หญิงควรมีปริมาณฮีโมโกลบินอยู่ที่ 12-15 กรัมต่อเดซิลิตร ส่วนผู้ชายควรมีปริมาณเม็ดเลือดขาวอัดแน่นอยู่ที่ 13-17 กรัมต่อเดซิลิตร แต่หากตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแล้วพบฮีโมโกลบินสูงหรือต่ำเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณความเสี่ยงของสุขภาพบางประการได้
หากตรวจพบปริมาณฮีโมโกลบินสูงเกินไป
- ร่างกายมีออกซิเจนในเลือดต่ำ
- ภาวะเลือดข้น
- ภาวะขาดน้ำ
- โรคหัวใจแต่กำเนิด
- โรคหัวใจวายจากโรคปอด
- พฤติกรรมสูบบุหรี่จัด
- การอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ
หากตรวจพบปริมาณฮีโมโกลบินต่ำเกินไป
- โรคหัวใจวาย
- โรคธาลัสซีเมีย
- ภาวะเสียเลือด
- ภาวะขาดสารอาหาร แร่ธาตุ หรือวิตามิน เช่น วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก
- การรับน้ำเกลือมากเกินไป
6. ผลตรวจปริมาณเกล็ดเลือด
มนุษย์ทุกคนควรมีเกล็ดเลือด 150,000-440,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร แต่หากตรวจพบปริมาณเกล็ดเลือดสูงหรือต่ำกว่านี้ ก็จัดเป็นสัญญาณความผิดปกติบางอย่างได้ เช่น
หากตรวจพบเกล็ดเลือดสูงเกินไป
- การติดเชื้อเรื้อรัง
- ภาวะอักเสบ
- ภาวะเลือดข้น
- เม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน
- หลอดเลือดถูกทำลาย
- ร่างกายขาดธาตุเหล็ก
หากตรวจพบเกล็ดเลือดต่ำเกินไป
- การตั้งครรภ์
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- ความผิดปกติที่ไขกระดูก
- ภาวะม้ามโต
- โรคแพ้ภูมิตนเอง
- การใช้ยาบางชนิด
- การสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง
- การรักษาโรคมะเร็งด้วยรังสีบำบัด
- เลือดไม่หยุดไหลหากร่างกายได้รับบาดเจ็บ
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดนั้นมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนใดๆ แต่สามารถบ่งชี้ถึงความแข็งแรงของสุขภาพได้มากมายหลายด้าน หากคุณมีโอกาสเดินทางไปตรวจสุขภาพ อย่าลืมที่จะจัดการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเข้าไปอยู่ในรายการตรวจด้วย