กรดโฟลิก (folic acid) และโฟเลต (folate) คือ วิตามินบีชนิดหนึ่ง (Vitamin B6) ที่สามารถละลายน้ำได้ โฟเลตเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีอยู่ในอาหารต่างๆ โดยกรดโฟลิกคือรูปแบบของวิตามินที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา
อาหารหลายประเภทเติมด้วยกรดโฟลิก เช่น ซีเรียลแบบเย็น แป้ง ขนมปัง พาสต้า ขนมอบทั้งหลาย คุกกี้ และขนมปังกรอบ อาหารที่มีโฟเลตสูงตามธรรมชาติ เช่น ผักใบเขียวต่างๆ (อย่างเช่นผักโขม บล็อกโคลี และกะหล่ำ) หน่อไม้ฝรั่ง ผลไม้ (อย่างกล้วย เมลอน และเลมอน) ถั่ว ยีสต์ เห็ด เนื้อ (อย่างเช่นตับและไตของวัว) น้ำส้ม และน้ำมะเขือเทศ ทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับปริมาณกรดโฟลิกมากเพียงพอโดยไม่ต้องทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ปริมาณกรดโฟลิกที่นิยมใช้ในไทย คือ folic acid 5 mg วันละเม็ด ซึ่งราคาไม่แพงและปริมาณกรดโฟลิกมากเพียงพอในทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์ และคนชรา เนื่องจากเป็นวิตามินบีที่ละลายน้ำได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณโฟลิกสะสมในร่างกาย แต่หากกินยาอื่นร่วมด้วยหรือมีโรคบางอย่าง ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนทาน
สารบัญ
กรดโฟลิกทำงานอย่างไร
กรดโฟลิกเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายมนุษย์ เป็นสารที่เกี่ยวข้องในการผลิตสารพันธุกรรมที่เรียกว่า DNA และควบคุมการทำงานต่างๆ ของร่างกาย
กรดโฟลิกใช้เพื่อป้องกันและรักษาภาวะขาดโฟเลตในเลือด (folate deficiency) เช่นเดียวกับภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อย่างโลหิตจาง (anemia) และภาวะที่กระเพาะไม่สามารถดูดซับสารอาหารได้ตามปกติ อย่างโรคกระเพาะอาหารอักเสบชนิดเป็นแผล (ulcerative colitis) โรคตับ ติดสุรา และจากการฟอกไต
ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ควรรับประทานกรดโฟลิกเพื่อป้องกันการแท้งบุตรและ ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (neural tube defects) ความผิดปกติโดยกำเนิดอย่างภาวะกระดูกสันหลังบกพร่อง (spina bifida) ซึ่งหลังและแผ่นหลังของตัวมีความอ่อน ไม่ปิดลงระหว่างการเติบโต
บางคนรับประทานกรดโฟลิกเพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ (colon cancer), มะเร็งปากมดลูก (cervical cancer), ภาวะสูญเสียการได้ยินจากอายุ, โรคตา, โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (age-related macular degeneration (AMD)), ลดสัญญาณของการแก่ชรา, กระดูกพรุน (osteoporosis), กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (restless leg syndrome), ปัญหาการนอนหลับ, ภาวะซึมเศร้า (depression), ปวดประสาท, ปวดกล้ามเนื้อ, AIDS, โรคผิวหนังที่เรียกว่าโรคด่างขาว (vitiligo) และโรคทางพันธุกรรมที่เป็นความผิดปกติทางโครโมโซม Fragile X ที่เรียกว่า Fragile-X syndrome อีกทั้งยังมีการใช้กรดโฟลิกเพื่อลดผลข้างเคียงร้ายแรงจากการรักษาด้วยยา lometrexol และ methotrexate อีกด้วย บางคนใช้กรดโฟลิกทาบนเหงือกโดยตรงเพื่อรักษาการติดเชื้อที่เหงือก
การใช้และประสิทธิภาพของกรดโฟลิก
ภาวะที่กรดโฟลิกจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ภาวะขาดโฟเลต (Folate deficiency) การรับประทานกรดโฟลิกสามารถทำให้อาการจากภาวะขาดโฟเลตดีขึ้นได้จริง
ภาวะที่กรดโฟลิกมักจะมีประสิทธิภาพในการรักษา
- โรคไตร้ายแรง ประมาณ 85% ของผู้ป่วยโรคไตร้ายแรงจะมีระดับ homocysteine สูงมาก ซึ่งเชื่อมโยงกับโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) การรับประทานกรดโฟลิกจะช่วยลดระดับ homocysteine ของผู้ป่วยโรคไตร้ายแรง อย่างไรก็ตาม การเสริมโภชนาการด้วยกรดโฟลิกอาจไม่ลดความเสี่ยงการเกิดอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ
- ปริมาณ homocysteine ในเลือดสูง (hyperhomocysteinemia) ระดับ homocysteine เชื่อมโยงกับโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง การรับประทานกรดโฟลิกจะช่วยลดระดับ homocysteine ลงประมาณ 20-30% ในกลุ่มผู้ที่มีระดับ homocysteine ปกติไปจนถึงระดับสูงกว่าปกติเล็กน้อย แนะนำว่าผู้ที่มีระดับ homocysteine สูงกว่า 11 micromoles/L ควรทำการเสริมอาหารด้วยกรดโฟลิกและวิตามินบี12 (Vitamin B12)
- ความพิการของทารกแรกเกิด (ภาวะหลอดปลายประสาทไม่ปิด (neural tube defects)) การรับประทานกรดโฟลิกระหว่างตั้งครรภ์จะลดความเสี่ยงที่ทารกจะเกิดมาพร้อมภาวะหลอดปลายประสาทไม่ปิด โดยแนะนำว่าสตรีมีครรภ์ควรได้รับกรดโฟลิกที่ 600-800 mcg ต่อวันพร้อมรับประทานอาหารหรือใช้ในรูปของอาหารเสริมเริ่มตั้งแต่ 1 เดือนก่อนตั้งครรภ์และระหว่างตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีประวัติเป็นภาวะดังกล่าวจะได้รับคำแนะนำให้รับกรดโฟลิกต่อวันที่ 4,000 mcg
ภาวะที่อาจใช้กรดโฟลิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การมองเห็นถดถอยเนื่องจากอายุ (ภาวะจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (age-related macular degeneration)) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินอื่นๆ ที่ประกอบทั้งวิตามินบี6 (Vitamin B6) และบี12 จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมเนื่องจากอายุที่มากขึ้นได้
- ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีงานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับยาต้านซึมเศร้าอาจช่วยอาการของผู้ป่วยซึมเศร้าได้
- ความดันโลหิตสูง งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานโฟลิกทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์จะลดความดันเลือดของผู้มีปัญหาความดันโลหิตสูงได้ แต่การรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับยาไม่อาจช่วยลดความดันเพิ่มเติมไปกว่าการรับประทานยาเพียงอย่างเดียว
- ปัญหาเหงือกเนื่องจากการใช้ยา phenytoin การทากรดโฟลิกบนเหงือกอาจช่วยป้องกันปัญหาที่เหงือกจากการใช้ phenytoin ได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานกรดโฟลิกเพื่อรักษาปัญหานี้อาจไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น
- โรคเหงือกระหว่างตั้งครรภ์ การทากรดโฟลิกที่เหงือกอาจช่วยให้อาการของโรคเหงือกที่เกิดตอนตั้งครรภ์ดีขึ้นได้
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) การรับประทานกรดโฟลิกสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองของผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่นิยมเสริมกรดโฟลิคในผลิตภัณฑ์จากธัญพืชได้ 10-25% แต่กรดโฟลิกไม่อาจป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้คนส่วนมากที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีการเติมกรดโฟลิกในบรรดาผลิตภัณฑ์จากธัญพืชทั้งหลาย
- ภาวะสีผิวหนังผิดปกติที่เรียกว่าโรคด่างขาว (vitiligo) การรับประทานกรดโฟลิกสามารถช่วยให้อาการของโรคด่างขาวดีขึ้นได้
ภาวะที่กรดโฟลิกอาจไม่สามารถรักษาได้
- มะเร็งเซลล์เม็ดเลือดขาว (acute lymphoblastic leukemia) การรับประทานโฟเลตระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเซลล์เม็ดเลือดขาวในเด็กได้
- ภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency) การรับประทานกรดโฟลิกพร้อมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารธาตุเหล็กอาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันภาวะขาดธาตุเหล็กและโลหิตจางไม่เท่ากับการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารธาตุเหล็กเพียงอย่างเดียว
- ความทรงจำและทักษะการนึกคิดของผู้สูงอายุ งานวิจัยส่วนมากแสดงให้เห็นว่าการรับประทานกรดโฟลิกไม่อาจป้องกันการเสื่อมถอยของความทรงจำและความสามารถในการคิดของผู้สูงอายุได้
- ป้องกันการอุดตันซ้ำของหลอดเลือดหลังการผ่าตัดขยาย มีหลักฐานเรื่องประโยชน์ของการรับประทานกรดโฟลิกหลังกระบวนการผ่าตัดขยายหลอดเลือดที่ไม่สอดคล้องซึ่งกันและกันอยู่ แต่การรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี6 และบี12 อาจเข้าไปรบกวนกระบวนการเยียวยาในกรณีที่มีการใช้อุปกรณ์ (ห่วงดาม) สอดเข้าในหลอดเลือดเพื่อดามให้เปิดอยู่ตลอดเวลาได้
- มะเร็งเต้านม การบริโภคโฟเลตในอาหารอาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้าในสตรีที่รับประทาน methionine, วิตามินบี12 (cyanocobalamin) หรือวิตามินบี6 (pyridoxine) ได้ แต่งานวิจัยนี้ยังคงขาดความสอดคล้องกัน โดยงานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (หรือที่เรียกว่า อาหารเสริม) กรดโฟลิกเพียงอย่างเดียวไม่อาจลดความเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดนี้ได้
- โรคหัวใจ งานวิจัยส่วนมากแสดงให้เห็นว่าการรับประทานกรดโฟลิกเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับวิตามินบี ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือประสบกับอาการจากโรคหัวใจแต่อย่างใด
- ต้อกระจก (Cataracts) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินรวมที่มีวิตามินบี6 และบี12 ไม่ได้ช่วยป้องกันต้อกระจกแต่อย่างใด แต่กลับยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของโอกาสที่ต้องเข้ารับการผ่าต้อออกเสียแทน
- กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) การฉีดกรดโฟลิกทุกวันไม่ส่งผลใด ๆ ต่ออาการจากกลุ่มอาการดังกล่าว
- ท้องร่วง การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีทั้งกรดโฟลิกและวิตามินบี12 ไม่อาจป้องกันอาการท้องร่วงในเด็กที่มีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition) แต่การรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้อาการท้องร่วงยาวนานมากขึ้น
- ป้องกันการล้ม การรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี12 ไม่อาจช่วยป้องกันการล้มของผู้สูงอายุที่กำลังรับประทานวิตามินดี (Vitamin D) ได้
- การเสียชีวิตของตัวอ่อนและทารกแรกเกิด การรับประทานกรดโฟลิกระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้ลดความเสี่ยงที่ทารกจะตายหลังคลอดหรือก่อนคลอดแต่อย่างใด
- ได้รับพิษจากยา lometrexol การฉีดกรดโฟลิกทุกวันไม่มีผลใด ๆ กับอาการจากโรคเหนื่อยล้าเรื้อรัง
- ลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีกรดโฟลิกและวิตามินบี12 ไม่อาจป้องกันภาวะติดเชื้อในปอดของเด็กที่ขาดสารอาหารได้
- กระดูกพรุน (osteoporosis) สำหรับผู้สูงอายุที่เป็นโรคกระดูกพรุน การรับประทานกรดโฟลิกและวิตามินบี12 และอาจจะรับประทานวิตามินบี6 (pyridoxine) ร่วมด้วย ไม่อาจลดความเสี่ยงต่อการกระดูกหัก
- การออกแรงของผู้สูงอายุ การรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี12 ไม่ได้ช่วยให้ผู้สูงอายุเดินดีขึ้นหรือมีมือที่แข็งแรงขึ้นแต่อย่างใด
ภาวะที่กรดโฟลิกมักจะไม่ได้ผล
- ภาวะติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (colorectal adenoma) การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดโฟลิกไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดติ่งเนื้อภายในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักได้
- โรคทางพันธุกรรม Fragile-X syndrome การรับประทานกรดโฟลิกไม่อาจช่วยให้อาการของ fragile-X-syndrome ดีขึ้น
- ทารกคลอดก่อนกำหนด การรับประทานกรดโฟลิกไม่ได้ลดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดของทารก
ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่าใช้กรดโฟลิกรักษาได้หรือไม่
- สิว มีหลักฐานเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินบี3 (nicotinamide), azelaic acid, สังกะสี, วิตามินบี6, ทองแดง และกรดโฟลิก (NicAzel, Elorac Inc.) ที่ส่งผลต่อสิวกระอักเสบบนใบหน้าอยู่จำกัดมาก
- โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) มีหลักฐานที่กล่าวว่าผู้สูงอายุที่บริโภคกรดโฟลิกมากกว่าปริมาณสารอาหารที่บริโภคได้ในแต่ละวัน (recommended dietary allowance (RDA)) จะมีความเสี่ยงน้อยต่อโรคอัลไซเมอร์อยู่จำกัดมาก
- ออทิสซึ่ม (Autism) มีหลักฐานไม่มากที่กล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกระหว่างการตั้งครรภ์อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะออทิสติกในเด็กได้
- ทาลัสซีเมียแบบบีตา (Beta-thalassemia) คือภาวะผิดปกติของเลือดที่เกิดจากกระบวนการผลิตที่ทำให้มีฮีโมโกลบินน้อย ซึ่งฮีโมโกลบินคือโปรตีนที่ใช้ขนส่งออกซิเจนในเลือด ผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีอาการปวดกระดูกและกล้ามเนื้อจนทำให้มีเรี่ยวแรงน้อย มีหลักฐานน้อยชิ้นที่กล่าวว่า กรณีเด็กที่ป่วยเป็นทาลัสซีเมียประเภทนี้ควรรับประทานกรดโฟลิกหรือรับประทานร่วมกับแอลคาร์นิทีน (L-carnitine) ที่มีองค์ประกอบคล้ายกับกรดอะมิโนจากโปรตีน ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดกระดูกและเพิ่มกำลังกายได้
- โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) การรับประทานกรดโฟลิกไม่เพิ่มผลจากยาต้านซึมเศร้า lithium ของผู้ป่วยโรคอารมณ์สองขั้ว อย่างไรก็ตาม การรับประทานโฟเลตร่วมกับยา valproate อาจจะเพิ่มผลจากยาขึ้น
- มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer) มีหลักฐานบางชิ้นที่กล่าวว่ากรเพิ่มปริมาณการบริโภคกรดโฟลิกและโฟเลตจากแหล่งอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับ thiamine, riboflavin และวิตามินบี12 อาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้
- โรคไตระยะยาว (chronic kidney disease (CKD)) การรับประทานกรดโฟลิกอาจช่วยชะลอการสึกกร่อนของไตในผู้ป่วย CKD ได้ แต่หากรับประทานร่วมกับวิตามินบี12 (cyanocobalamin) อาจจะทำให้ไม่ได้รับผลดีข้อนี้ กลับกันอาจทำให้โรคไตที่เป็นอยู่ทรุดลงกว่าเดิมได้
- มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งทวารหนัก งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกหรือรับประทานโฟเลตในอาหารสามารถลความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งทวารหนักได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีงานวิจัยที่ไม่ได้กล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกหรือโฟเลตในอาหารจะให้ผลเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ว่ากรดโฟลิกจะมีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่มากว่าป้องกันมะเร็งทวารหนัก หรืออาจจะตอบสนองกับมะเร็งลำไส้ใหญ่บางประเภทเท่านั้น
- เบาหวาน (Diabetes) การรับประทานอาหารเสริมกรดโฟลิกอาจไม่ส่งผลใดๆ ต่อผู้ป่วยเบาหวาน
- โรคลมชัก (Epilepsy) การรับประทานกรดโฟลิกอาจไม่ลดอาการชักของผู้ป่วยโรคนี้ได้
- มะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal cancer) งานวิจัยกล่าวว่าการบริโภคโฟเลตในอาหารจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้
- ปริมาณโฮโมซิสเทอีน (homocysteine) ในเลือดสูงจากการใช้ยา fenofibrate การรับประทานกรดโฟลิกวันเว้นวันอาจลดระดับ homocysteine ในเลือดที่สูงจากการใช้ยา fenofibrate ได้
- มะเร็งกระเพาะอาหาร งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารบางประเภทได้
- เก๊าท์ (Gout) งานวิจัยกล่าวว่าโฟเลตสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์ได้
- มะเร็งศีรษะและลำคอ การรับประทานกรดโฟลิกจากอาหารปริมาณมากเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งศีรษะและลำคอที่ลดลง
- สูญเสียการได้ยิน ระดับโฟเลตที่น้อยลงในเลือดเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียการได้ยินอย่างฉับพลันในผู้ใหญ่ มีหลักฐานบางชิ้นที่กล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกทุกวันนาน 3 ปีจะชะลอการเสื่อมลงของการได้ยินในผู้สูงวัยที่มีระดับโฟเลตต่ำ แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าการรับประทานอาหารเสริมกรดโฟลิกจะมีประโยชน์เช่นนี้กับกลุ่มผู้ที่มีระดับโฟเลตปกติหรือไม่
- ภาวะมีบุตรยากของผู้ชาย งานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับซิงค์ซัลเฟต (Zinc sulfate) ทุกวันสามารถเพิ่มจำนวนสเปิร์มของผู้ชายที่มีปัญหาจำนวนสเปิร์มน้อยได้
- น้ำหนักแรกเกิดต่ำ การรับประทานกรดโฟลิกระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้ช่วยป้องกันการกำเนิดมาด้วยน้ำหนักต่ำได้ แต่อาจเพิ่มน้ำหนักโดยรวมมาตรฐานของเด็กแรกเกิดได้ อย่างไรก็ตาม มีบางงานวิจัยที่กล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์อาจจะช่วยลดความเสี่ยงที่เด็กจะเกิดมาตัวเล็กแม้จะคลอดครบกำหนด กระนั้นความเสี่ยงนี้จะไม่ลดลงในกลุ่มแม่ที่เริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลังจากเด็กติดแล้ว
- มะเร็งปอด ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างระดับโฟลิกที่ต่ำกับผู้ป่วยมะเร็งปอดส่วนมาก
- มะเร็งผิวหนังชนิดที่เรียกว่าเมลาโนมา (melanoma) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานกรดโฟลิกอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเมลาโนมาได้
- ช่วยให้ยาสำหรับอาการเจ็บหน้าอกออกฤทธิ์นานขึ้น มีหลักฐานบางชิ้นที่กล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกไม่ได้ช่วยให้ยาสำหรับอาการเจ็บหน้าอก (nitrates) ออกฤทธิ์นานขึ้นแต่อย่างใด
- โรคปากแหว่ง (Cleft lip) งานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกระหว่างตั้งครรภ์สามารถลดความเสี่ยงที่เด็กจะเป็นโรคปากแหว่งได้ แต่งานวิจัยอื่น ๆ กลับไม่พบประโยชน์ในข้อนี้
- มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer) การรับประทานโฟเลตมากกว่า 280 mcg จากอาหารทุกวันเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อมะเร็งตับอ่อนที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม งานวิจัยอื่น ๆ กล่าวว่าการบริโภคโฟเลตไม่ได้เกี่ยวโยงกับความเสี่ยงต่อโรคนีแต่อย่างใด
- ปวดประสาท (ปลายประสาทอักเสบ (peripheral neuropathy) ยังคงมีหลักฐานเกี่ยวกับบทบาทของกรดโฟลิกกับอาการปวดปลายประสาทในผู้ป่วยเบาหวานที่ขัดแย้งกันอยู่ บ้างก็กล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกพร้อมวิตามินบี6 (pyridoxine) และวิตามินบี12 จะช่วยให้อาการปวดประสาทน้อยลง อย่างไรก็ตาม ประสาทกลับไม่ได้ทำงานดีขึ้นแต่อย่างใด
- มะเร็งลำคอ งานวิจัยน้อยชิ้นที่กล่าวว่ากรดโฟลิกและโฟเลตจากอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำคอได้
- ครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชัก (Pre-eclampsia) ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะก่อนชักเริ่มจากภาวะความดันโลหิตและมีโปรตีนในปัสสาวะสูงระหว่างช่วงตั้งครรภ์ โดยงานวิจัยบางชิ้นได้กล่าวว่าการรับประทานอาหารเสริมกรดโฟลิกระหว่างตั้งครรภ์ไม่อาจละความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษได้
- ภาวะความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ มีงานวิจัยบางชิ้นที่กล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกระหว่างตั้งครรภ์ไม่อาจลดความเสี่ยงต่อความดันโลหิตูสงได้
- ความผิดปกติที่ทำให้อยากขยับขาข้างหนึ่ง (restless legs syndrome (RLS)) การรับประทานกรดโฟลิกอาจช่วยลดอาการของ RLS ได้ โดยนักวิจัยกำลังทำการศึกษาอยู่ว่าภาวะนี้เกิดจากภาวะขาดกรดโฟลิกหรือไม่อยู่
- จิตเภท (Schizophrenia) การรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี12 อาจลดอาการที่ไม่ดีที่เกี่ยวข้องกับจิตเภทได้ แต่เฉพาะกับผู้ป่วยบางรายทีมีพันธุกรรมพิเศษบางตัวเท่านั้น ซึ่งส่วนมากแล้วกรดโฟลิกมักจะไม่ได้ผล
- โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle-cell disease) การรับประทานกรดโฟลิกอาจลดระดับ homocysteine ลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าประโยชน์นี้จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยเม็ดเลือดแดงรูปเคียวหรือไม่
- ภาวะติดแอลกอฮอล์ (Alcoholism)
- โรคตับ
- ภาวะสุขภาพอื่นๆ
จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานให้มากขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านประสิทธิผลของกรดโฟลิกเพิ่มเติม
ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของกรดโฟลิก
- กรดโฟลิกถูกจัดว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ส่วนมากเพื่อบริโภคหรือฉีดเข้าร่างกาย ผู้ใหญ่ส่วนมากจะไม่ประสบกับผลข้างเคียงใดๆ เมื่อบริโภคในปริมาณที่ต่ำกว่า 1,000 mcg ต่อวัน
- หากรับประทานกรดโฟลิกในปริมาณที่มากกว่าที่กล่าวไปและใช้ในระยะยาวจะนับว่าอาจจะไม่ปลอดภัย โดยกรดโฟลิกปริมาณสูงอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องร่วง ผื่นขึ้น ปัญหาการนอนหลับ ฉุนเฉียว สับสน คลื่นไส้ พฤติกรรมเปลี่ยน เกิดปฏิกิริยาบนผิวหนัง ชัก เกิดลมในร่างกาย รู้สึกตื่นเต้น และอื่นๆ
- มีข้อกังวลว่าการบริโภคกรดโฟลิกมากเกินไปเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงขึ้น โดยบางงานวิจัยได้กล่าวว่าการรับประทานมากไปหรือที่ปริมาณ 800-1,200 mcg อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาหัวใจ และยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ อย่างมะเร็งปอดหรือมะเร็งต่อมลูกหมากได้
คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ
- สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร กรดโฟลิกจัดว่าค่อนข้างปลอดภัยเมื่อรับประทานอย่างเหมาะสมระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมบุตร การรับประทานกรดโฟลิกทุกวันที่ 300-400 mcg จะมีขึ้นเพื่อป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารก
- กระบวนการที่ใช้ขยายหลอดเลือดแดง การใช้กรดโฟลิก วิตามินบี6 และวิตามินบี12 ทางเส้นเลือด (Intravenously (by IV)) หรือด้วยวิธีรับประทานอาจทำให้หลอดเลือดที่ตีบมีอาการแย่ลงได้ โดยผู้ที่ผ่านการรักษานี้มาไม่ควรใช้กรดโฟลิก
- มะเร็ง เคยมีงานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิก 800-1,000 mcg ทุกวันจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งขึ้น ดังนั้นจนกว่าจะได้ข้อสรุป ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นมะเร็งควรเลี่ยงใช้กรดโฟลิกในปริมาณมาก
- โรคหัวใจ งานวิจัยกล่าวว่าการรับประทานกรดโฟลิกร่วมกับวิตามินบี6 อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในผู้ที่มีประวัติได้
- โรคโลหิตจางที่เกิดจากภาวะขาดวิตามินบี12 การรับประทานกรดโฟลิกอาจกระตุ้นให้เกิดโรคโลหิตจางกับกลุ่มผู้ที่ขาดวิตามินบี12 และไม่เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม
- ภาวะที่ทำให้ชักผิดปกติ การรับประทานอาหารเสริมอาหารกรดโฟลิกอาจทำให้อาการชักกระตุกทรุดลงในกลุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อใช้ในปริมาณที่สูงไป
การใช้กรดโฟลิกร่วมกับยาชนิดอื่น
- Fosphenytoin: ถูกใช้เพื่อควบคุมอาการชัก โดยร่างกายสามารถทำลายและกำจัด Fosphenytoin ได้ ส่วนกรดโฟลิกจะยิ่งทำให้กระบวนการกำจัดยาชนิดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปจนลดประสิทธิภาพลง
- Methotrexate: ออกฤทธิ์ด้วยการลดผลกระทบของกรดโฟลิกในเซลล์ร่างกาย การรับประทานเม็ดยากรดโฟลิกร่วมกับ Methotrexate อาจลดประสิทธิภาพของ Methotrexate ลง
- Phenytoin: ร่างกายสามารถทำลายและกำจัด phenytoin ได้ โดยกรดโฟลิกอาจส่งผลต่อกระบวนการดูดซับของร่างกายลงจนทำให้ยามีประสิทธิภาพน้อยลงและอาจกระตุ้นให้เกิดอาการชักได้
- Primidone: ใช้รักษาอาการชัก และกรดโฟลิกสามารถทำให้ผู้ใช้บางรายเกิดอาการชักได้ ดังนั้นการใช้ยาร่วมกับกรดโฟลิกอาจลดประสิทธิภาพของ Primidone ในการป้องกันการชักลง
- Pyrimethamine: ถูกใช้รักษาภาวะติดเชื้อปรสิตต่างๆ ซึ่งกรดโฟลิกสามารถลดประสิทธิภาพในการกำจัดปรสิตของยานี้ลงได้
ปริมาณยาที่ใช้
ปริมาณหรือขนาดยาที่ใช้ดังต่อไปนี้ได้ถูกศึกษาจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ผู้ใหญ่
รับประทาน
- สำหรับภาวะขาดโฟลิก ปริมาณทั่วไปคือ 250 mcg (ไมโครกรัม) ถึง 1 mg (มิลลิกรัม) ต่อวัน
- สำหรับป้องกันภาวะหลอดประสาทไม่ปิด กลุ่มผู้หญิงที่สามารถตั้งครรภ์ได้ควรรับประทานกรดโฟลิกที่ 400 mcg ต่อวันจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรืออาหารที่อุดมไปด้วยโฟลิก สำหรับผู้หญิงมีครรภ์ควรรับประทานกรดโฟลิกที่ 600 mcg ต่อวันทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรืออาหารอุดมไปด้วยกรดโฟลิก ผู้หญิงที่มีประวัติเคยประสบกับภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ทารกที่ป่วยเป็นโรคหลอดประสาทไม่ปิด ควรเริ่มรับประทานกรดโฟลิกที่ 4 mg ต่อวันตั้งแต่ 1 เดือนแรกก่อนและหลังคลอด 3 เดือน
- สำหรับลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ 400 mcg ต่อวัน
- สำหรับภาวะ homocysteine ในเลือดสูง
- 200 mcg ถึง 15 mg ต่อวัน โดยการรับประทานที่ 800 mcg ถึง 1 mg มักจะให้ผลที่ดีที่สุด
- ผู้ที่เป็นโรคไตระยะสุดท้ายที่มีระดับ homocysteine สูงอาจทำการรักษาได้ยาก และต้องมีการใช้กรดโฟลิกที่ 800 mcg ถึง 40 mg ต่อวัน โดยแผนการบริโภคอื่น ๆ อย่าง 2.5-5 mg สามครั้งต่อสัปดาห์ก็เคยมีการนำมาใช้ การใช้ในปริมาณที่สูงกว่า 15 g ต่อวันนั้นมักจะไม่มีประสิทธิภาพกว่าการใช้ยาในปริมาณน้อย
- สำหรับเพิ่มการตอบสนองต่อยารักษาซึมเศร้า 200-500 mcg ต่อวัน
- สำหรับโรคด่างขาว 5 mg 2 ครั้งต่อวัน
- สำหรับลดความเป็นพิษที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดด้วยยา methotrexate รักษาโรคข้อต่ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) หรือโรคสะเก็ดเงิน 1 mg ต่อวันก็เพียงพอ แต่ก็สามารถรับประทานในปริมาณ 5 mg ต่อวันก็ได้
- สำหรับป้องกันโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม กรดโฟลิก 2.5 mg, วิตามินบี12 (cyanocobalamin) 1 mg, และวิตามินบี6 (pyridoxine) 50 mg ต่อวัน
ทาบนผิวหนัง
- สำหรับปัญหาเหงือกระหว่างตั้งครรภ์ ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ประกอบด้วยกรดโฟลิก 1 นาที 2 ครั้งต่อวัน
ฉีดเข้าร่างกาย
- สำหรับลดระดับ homocysteine ในผู้ที่เป็นโรคไตระยะสุดท้าย 10 mg หลังการฟอกไตเป็นเวลา 3 ครั้งต่อสัปดาห์
เด็ก
รับประทาน
- สำหรับปัญหาเหงือกจากการใช้ยา phenytoin (อายุ 6-15 ปี) กรดโฟลิก 500 mcg ทุกวัน
ปริมาณกรดโฟลิกแนะนำ (ต่อวัน)
ปริมาณสารอาหารที่เพียงพอ (adequate intakes (AI))
- สำหรับทารกอายุ 0-6 เดือน แนะนำ 65 mcg
- สำหรับอายุ 7-12 เดือน แนะนำ 80 mcg
ปริมาณสารอาหารที่แนะนำในแต่ละวัน (recommended dietary allowances (RDAs)) สำหรับโฟเลตทั้งจากอาหารและกรดโฟเลตจากอาหารเติมกรดโฟเลต
- เด็กอายุ 1-3 ปี แนะนำ 150 mcg
- เด็กอายุ 4-8 ปี แนะนำ 200 mcg
- ผู้ใหญ่อายุมากกว่า 13 ปี แนะนำ 400 mcg
- ผู้หญิงมีครรภ์ แนะนำ 600 mcg
- ผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตร แนะนำ 500 mcg
ปริมาณสารอาหารสูงสุดที่ได้รับในแต่ละวัน (The tolerable upper intake levels (UL)) ของโฟเลต
- สำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี แนะนำ 300 mcg
- สำหรับเด็กอายุ 4-8 ปี แนะนำ 400 mcg
- สำหรับเด็กอายุ 9-13 ปี แนะนำ 600 mcg
- สำหรับวัยรุ่นอายุ 14-18 ปี แนะนำ 800 mcg
- สำหรับทุกคนที่อายุมากกว่า 18 ปี แนะนำ 1 mg