เมื่อมีอาการท้องเสีย ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปมาก การเลือกอาหารที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญในการช่วยฟื้นฟูร่างกายและลดอาการลง การรับประทานอาหารที่ถูกต้องสามารถช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ในขณะที่อาหารบางชนิดอาจทำให้อาการแย่ลง บทความนี้จะอธิบายว่าเมื่อมีอาการท้องเสีย ควรกินอะไรเพื่อบรรเทาอาการ ห้ามกินอะไรที่อาจทำให้ท้องเสียมากขึ้น และอาหารชนิดใดที่ควรกินเพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย
สารบัญ
ท้องเสียกินอะไรได้บ้าง
ระหว่างท้องเสีย ควรระวังเรื่องการเลือกอาหารที่ทานได้ โดยเลือกอาหารที่ย่อยง่ายและช่วยฟื้นฟูสมดุลของร่างกาย
อาหารแนะนำ
- อาหารอ่อนๆ อาหารย่อยง่าย รสอ่อน ทำให้การหดรัดตัวของลำไส้ใหญ่ลดลง จึงช่วยให้การขับถ่ายลดลงไปด้วย ตัวอย่างอาหารที่เคี้ยวง่าย เช่น ข้าวสวย ข้าวต้ม โจ๊ก ขนมปังปิ้ง หากทานเนื้อสัตว์ควรสับและบริโภคในปริมาณที่น้อย ผลไม้ทานได้บ้างในปริมาณที่จำกัด
- กล้วย เป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ช่วยชดเชยแร่ธาตุที่สูญเสียไปจากการท้องเสีย และยังช่วยเพิ่มกากใยที่อ่อนโยนต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้อาการท้องเสียดีขึ้น
- ซุปใส ช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำและเกลือแร่คืนมา ช่วยป้องกันการขาดน้ำและฟื้นฟูพลังงานให้ร่างกาย ควรเลือกซุปที่ไม่มีเครื่องปรุงรสจัดหรือมันเกินไป
- โยเกิร์ต เลือกที่มีโปรไบโอติกส์ช่วยฟื้นฟูแบคทีเรียดีในลำไส้ ซึ่งช่วยปรับสมดุลการทำงานของลำไส้ได้ดี ควรเลือกโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาลเพื่อไม่ให้ระคายเคืองระบบย่อยอาหาร
เครื่องดื่ม
- ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ อาการอ่อนเพลียต่างๆ โดยผสมผงเกลือแร่ตามสัดส่วนที่ระบุไว้ จิบครั้งละน้อยจนหมดแก้ว หลังผสมแล้วสามารถเก็บไว้ได้แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง หากไม่มีผงเกลือแร่ ก็สามารถเตรียมเองง่ายๆ ด้วยการผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่น 1 ช้อนชา ผสมในน้ำต้มสุก 1 ขวด (750 ซีซี) คนให้เข้ากัน แต่ห้ามผู้ป่วยดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกายทดแทนเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
- ดื่มน้ำมะพร้าว เพราะมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง สามารถลดอาการอ่อนเพลียจากการสูญเสียน้ำได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติขับสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย หากกังวลว่าจะกระตุ้นการขับถ่าย อาจเลี่ยงไปดื่มน้ำชนิดอื่นแทน
- ดื่มน้ำสะอาด ที่ไม่มีสารเจือปน เช่น น้ำต้มสุก หรือ น้ำดื่มบรรจุขวดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อโรค
ท้องเสียห้ามกินอะไร
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงท้องเสียหรือไม่ควรกินเลย มีดังนี้
- อาหารประเภทนมแลผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส ไอศกรีม เพราะประกอบด้วยน้ำตาลแลคโตสซึ่งร่างกายย่อยและดูดซึมได้ยาก
- หลีกเลี่ยง ผลไม้ละน้ำผลไม้ ที่มีน้ำตาลฟรุ๊กโตสมาก หากร่างกายดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้เข้าไปมากๆ จะทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น
- อาหารประเภทหมักดอง
- อาหารสุกๆ ดิบๆ
- อาหารที่ปรุงทิ้งไว้นานๆ
- อาหารที่มีกลูเตน เช่น แป้งสาลี ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ เบียร์ น้ำสลัดบางชนิด เพราะย่อย ดูดซึมยาก และมีโอกาสท้องเสียสูง
- อาหารทอด อาหารมัน อาหารที่ไขมันสูง เพราะย่อยยาก ร่างกายดูดซึมยาก หรืออาจไม่ดูดซึมเลย บางรายลำไส้ใหญ่อาจเร่งขับออกทำให้ท้องเสียมากขึ้น
- อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปี้ยวจัด เค็มจัด เพราะทำให้ระคายเคืองส่วนปลายของลำไส้ (ติดทวารหนัก)
- คาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา ช็อคโกแลต โซดา เร่งกระบวนการย่อยและกระบวนการขับถ่าย
ผู้มีอาการท้องเสียบางราย ควรงดการรับประทานอาหารชั่วคราว เพื่อลดการระคายเคืองในลำไส้ ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อลงระหว่างที่มีอาการ เพื่อลดการทำงานของลำไส้ลงและสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติเร็วขึ้น
ผู้มีอาการท้องเสียควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ดี ลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหารได้ง่าย
ท้องเสียกินอะไรหาย
การใช้ยาหยุดถ่ายอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี หากอาการไม่หนักจะใช้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการมากกว่าและทานอาหารตามความเหมาะสม ซึ่งไม่มีอาหารที่ทำให้หายท้องเสียได้ทันที แต่มีอาหารบางประเภทที่ช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น
- รับประทานยาที่ทำหน้าที่เป็นสารดูดซับ ได้แก่ ยาคาโอลินหรือเพกติน ผงถ่าน และยาไดออกทาฮีดรอลสเมกไทต์ ควรใช้ร่วมกับผงน้ำตาลเกลือแร่ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ปรึกษาเภสัชกรได้ที่ร้านขายยา
- อ่านเพิ่มเติม: ยาแก้ท้องเสีย บรรเทาอาการท้องเสีย
- รับประทานผลไม้และสมุนไพร โดยเฉพาะที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย เช่น รับประทานกล้วยน้ำว้าผลดิบสด แต่ข้อควรระวังคือ อาจเกิดอาการท้องอืดหลังรับประทาน หรือใช้ใบฝรั่งแก่ต้มดื่มแทนน้ำก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้
ที่สำคัญควรรับประทานยา ผลไม้ และสมุนไพรตามความจำเป็นและพิจารณาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อต้องใช้ยา
หากรักษาด้วยตนเองด้วยวิธีเหล่านี้ แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ผู้ป่วยยังคงถ่ายบ่อย ถ่ายเป็นน้ำ อุจจาระมีลักษณะเป็นมูกมีกลิ่นคล้ายกุ้งเน่า ปวดท้อง อาเจียน มีไข้ อ่อนเพลีย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว
การดูแลตนเองหลังหาย ป้องกันท้องเสีย
- หลังจากหายท้องเสียควรรับประทานอาหารที่มีจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น น้ำเปรี้ยว โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ (Probiotics) เพื่อเพิ่มสมดุลของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมอาหาร
- รับประทานอาหารที่ปรุงสดใหม่ สุก และย่อยง่าย
- ดื่มน้ำสะอาด
- ดูแลสุขอนามัยให้ดี หมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
- พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับอาการท้องเสีย
หากแบ่งชนิดโรคท้องเสีย โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด
1. ท้องเสียชนิดเฉียบพลัน
ท้องเสียชนิดเฉียบพลันมักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อน เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส การแพ้อาหารหรือความเครียด ผู้ป่วยท้องเสียชนิดเฉียบพลันอาจมีอาการดังนี้
- ถ่ายเป็นน้ำบ่อยๆ
- มีอาการปวดท้อง
- หากอาการรุนแรงก็อาจมีไข้ และอาเจียน
อาการท้องเสียเฉียบพลัน จะมีอาการที่ประมาณ 1-2 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์
2. ท้องเสียชนิดต่อเนื่องและเรื้อรัง
ท้องเสียชนิดเรื้อรัง มีสาเหตุมาจากความแปรปรวนในระบบทางเดินอาหาร หรือลำไส้ ที่มีความไวต่อสิ่งเร้า การแพ้อาหาร ส่วนประกอบในอาหาร หรือสารอาหารบางชนิดอันเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน อาจเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) หรือการติดเชื้อที่ไม่หายขาด
ท้องเสียต่อเนื่อง อาจมีอาการนานประมาณ 2-4 สัปดาห์
ท้องเสียเรื้อรัง อาจมีอาการต่อเนื่องเกิน 4 สัปดาห์ขึ้นไป ควรพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา
สาเหตุและเชื้อโรคต้นเหตุของอาการท้องเสีย
สาเหตุที่พบบ่อยของอาการท้องเสีย ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียจากอาหาร การแพ้อาหาร รวมทั้งความเครียด
อาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ การติดเชื้อไวรัสและการติดเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อไวรัสที่พบบ่อย
- ไวรัสโคโรนา (Corona virus)
- ไวรัสอะดีโน (Adeno virus)
- อหิวาต์ (Cholera)
- ลิสทีเรีย (Listeria)
- ชิเกลลา (Shigella)
- ไวรัสโรตา (Rota virus)
- ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)
เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย
- แบคทีเรียอีโคไล (Escherichia coli: E. coli)
- แบคทีเรียสแตฟีโลค็อคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus)
- แบคทีเรียวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio Parahaemolyticus)
- แบคทีเรียแคมไพโลแบคเตอร์ เจจูไน (Campylobacter Jejuni)
- แบคทีเรียบาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus Cereus)
- แบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonella)
- แบคทีเรียคลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium Perfringens)
- แบคทีเรียคลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum)
การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการท้องเสีย
สิ่งที่ควรทำในกรณีที่อาการท้องเสียไม่รุนแรง คือ ถ่ายอุจจาระออกให้หมดเพื่อกำจัดของเสีย หรือเชื้อโรคในลำไส้ให้หมดไป
สิ่งที่หลายคนอาจเข้าใจผิด คือ กินยาหยุดถ่ายทั้งที่ท้องเสียไม่มาก เพราะยาหยุดถ่ายเป็นตัวยาที่มีกลไกทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลงจึงลดการขับอุจจาระลง เพิ่มมวลของอุจจาระ ลดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ มักใช้กับอาการท้องเสียชนิดถ่ายเหลวมาก เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ แต่อาจทำให้มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายนานขึ้น
นอกจากนี้เรายังสามารถดูแลตนเองระหว่างท้องเสียได้เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น ร่างกายกลับมาเป็นปกติโดยไว ดังนั้น การรู้ว่าท้องเสียกินอะไรหาย ท้องเสียห้ามกินอะไร ทานอะไรได้บ้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากอาหารบางประเภทยิ่งรับประทานยิ่งทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น เสียน้ำ และเกลือแร่มากขึ้น อีกทั้งร่างกายยังแทบไม่ได้รับประโยชน์จากอาหารมื้อนั้นๆ ด้วย
คำถามสุขภาพที่พบบ่อย
- ยาละลายเสมหะ กับ ยาขับเสมหะ ต่างกันอย่างไร ?
- ยาแก้วิงเวียน มีผลข้างใดที่ต้องระวังบ้าง ?
- ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าในคน ต้องฉีดตอนไหนถึงจะดี ?
ที่มาของข้อมูล
- “Diarrhoeal disease Fact sheet N°330”. World Health Organization. April 2013. Archived from the original on 17 July 2014.
- Brian Lin, Viral Gastroenteritis (https://emedicine.medscape.com/article/176515-overview), 8 January 2018.
- “The Basics of Diarrhea”. Webmd.com. 17 February 2011. Archived from the original on 11 March 2011.