laparoscopic gastrectomy sleeve treatment process scaled

ผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ เพื่อลดน้ำหนัก (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy)

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ เป็นวิธีลดน้ำหนักสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนที่ให้ผลระยะยาว หลังการผ่าตัดกระเพาะมักลดน้ำหนักได้ถึง 40-50% ภายใน 2 ปี ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้น การผ่าตัดกระเพาะช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะน้ำหนักเกินได้ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดสมอง รวมไปถึงปัญหามีบุตรยากที่มีสาเหตุมาจากน้ำหนักตัว

นอกจากการบำบัดโรค ผู้ป่วยโรคอ้วน ที่น้ำหนักลดลงยังมักมีคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น เนื่องจากสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกขึ้น ประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้คล่องแคล่วขึ้น

ผู้ที่ต้องการผ่าตัดกระเพาะ จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เสียก่อน เนื่องจากเมื่อผ่าตัดลดขนาดกระเพาะด้วยเทคนิคนี้แล้ว จะไม่สามารถซ่อมแซมให้กระเพาะกลับมามีความจุเท่าเดิมได้อีก

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟคืออะไร

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ (Gastric Sleeve Surgery) คือเทคนิคการผ่าตัดกระเพาะที่จะตัดเอาพื้นที่ประมาณ 80% ของกระเพาะออกไป จนเหลือกระเพาะลักษณะแคบ ยาว คล้ายผลกล้วย ผลทำให้กระเพาะรับอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น และส่วนของกระเพาะที่ถูกผ่าตัดออกไปนั้น ยังเป็นส่วนที่หลั่งฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายรู้สึกหิว หลังผ่าตัดจึงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหิวน้อยลง

ผ่าตัดแบบสลีฟ

คลิกที่นี่เพื่อดูภาพขนาดใหญ่

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟเหมาะกับใคร

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟเหมาะกับผู้เป็นโรคอ้วนระยะรุนแรง ลองลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล โดยทั่วไปแล้วมักพิจารณาให้ผ่าตัดกระเพาะในผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป หรือมีค่า BMI ตั้งแต่ 35-39.9 ร่วมกับมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับความอ้วน เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

ในบางกรณี ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30-34 ก็อาจรับการผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟได้ ถ้ามีปัญหาสุขภาพซึ่งเกี่ยวข้องกับน้ำหนักแทรกซ้อนอย่างรุนแรง ขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณา

วิธีคำนวณค่า BMI เช็กว่าน้ำหนักมากเกินปกติหรือเปล่า อ่านต่อคลิกเลย

ข้อดีของการผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ เป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักได้จริง และให้ผลระยะยาว เพราะเมื่อผ่ากระเพาะแล้วร่างกายจะรับอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น และฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกหิวจะหลั่งน้อยลงไปตลอด

ข้อจำกัดของการผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ มักมีข้อจำกัดในผู้ป่วยกลุ่มต่อไปนี้

  • ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร หรือมีแผนจะตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งจะทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงจะเกิดอันตรายได้มากกว่าคนทั่วไป เช่น เป็นโรคหัวใจรุนแรง มีภาวะเลือดแข็งตัวช้า เป็นต้น
  • ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตใจ ซึ่งจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการผ่าตัดกระเพาะจะทำให้การดูดซึมยาเปลี่ยนแปลงไป อาจมีผลต่อการรักษาภาวะสุขภาพที่เป็นอยู่

ผลข้างเคียงของการผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ

โดยทั่วไป การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟถือเป็นเทคนิคการผ่าตัดกระเพาะที่ปลอดภัย เป็นหัตถการที่ทำกันทั่วไป ในปีหนึ่งๆ มีการทำหัตถการนี้ราว 380,000 เคสทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการผ่ากระเพาะทำให้ร่างกายผู้ป่วยรับอาหารได้น้อยลง น้ำหนักลดลง อย่างทันทีทันใด ดังนั้นในช่วง 3-6 เดือนแรกหลังจากผ่าตัดจึงอาจเกิดผลข้างเคียงต่อไปนี้

แม้การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟจะเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผล ทำให้ผอมลงได้จริง แต่ผู้รับการผ่าตัดกระเพาะจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพไปในระยะยาว เช่น อาจต้องเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจติดตามเป็นระยะ ต้องรับวิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่รับได้น้อยลง ดังนั้นควรสอบถามแพทย์ถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น ข้อปฏิบัติที่ต้องทำหลังผ่าตัด และระยะเวลาที่ต้องทำตามข้อปฏิบัติเหล่านั้น เพื่อจะได้ข้อมูลครบถ้วน รอบด้าน ก่อนตัดสินใจผ่าตัด

ขั้นตอนการรักษาโรคอ้วน ด้วยการผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ

  1. วิสัญญีแพทย์วางยาสลบผู้ป่วย
  2. เมื่อยาสลบออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะทำการเจาะรูเล็กๆ ที่ผิวหนังบริเวณช่องท้องส่วนบนของผู้ป่วย เพื่อเป็นช่องทางใส่เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก รวมถึงกล้องส่องอวัยวะภายในที่มีกำลังขยายสูง เข้าไปทำการผ่าตัดกระเพาะ
  3. แพทย์ทำการผ่าตัดกระเพาะส่วนที่เป็นกระพุ้งกระเพาะออก แล้วเย็บปิด จนกระเพาะเหลือเป็นลักษณะเรียวยาว คล้ายผลกล้วย
  4. แพทย์จะทดสอบการรั่วซึมของกระเพาะที่เย็บเรียบร้อยแล้ว ด้วยวิธีฉีดสีหรือส่องกล้องดูทางเดินอาหาร
  5. เมื่อแน่ใจว่าการผ่าตัดและเย็บปิดกระเพาะเรียบร้อยดีแล้ว แพทย์จะนำเครื่องมือต่างๆ ออกทางรูช่องท้องที่เจาะเปิดไว้ จากนั้นเย็บปิดแผล

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟมักใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หลังผ่าตัดแพทย์จะให้ผู้ป่วยค้างคืนในโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน เพื่อสังเกตอาการหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น หากไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงจะให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน

การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ เป็นหนึ่งในเทคนิคการผ่าตัดกระเพาะที่จะช่วยผู้เป็นโรคอ้วนหรือผู้มีน้ำหนักเกินระยะรุนแรง ให้ลดน้ำหนักอย่างได้ผล ไม่กลับมาอ้วนอีก และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

โดยทั่วไปแพทย์มักพิจารณาจากค่า BMI ร่วมกับการตรวจร่างกาย ซักประวัติ ก่อนพิจารณาว่าควรรับการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีนี้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม หลังผ่าตัดผู้ป่วยจำเป็นต้องปรับพฤติกรรม สังเกตตัวเอง และดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี รวมถึงอาจต้องรับประทานวิตามินเสริมเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นก่อนผ่าตัดจึงควรสอบถามแพทย์เกี่ยวกับแผนการรักษา การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด ให้ชัดเจนและครบถ้วน รวมถึงอาจสอบถามถึงทางเลือกอื่นๆ ที่จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ เพื่อจะได้เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย และเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของเรามากที่สุด

ผ่าตัดกระเพาะ เป็นวิธีรักษาโรคอ้วนที่ดีที่สุดจริงมั้ย? เทคนิคสลีฟเหมาะกับเราหรือเปล่า อยากขอความเห็นที่สองจากคุณหมอเฉพาะทาง เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับเรามากที่สุด ติดต่อทีม HDcare ช่วยทำนัดเข้าปรึกษาคุณหมอ ดูแลกันตั้งแต่ต้นจบ ทำให้การผ่าตัดไม่ยุ่งยากและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด คลิกเลย

Scroll to Top